Support
ข้าวกล้อง ไร้สาร
086-3265553
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2015-02-06 15:39:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้าวฯที่ป้องกันโรคอัลไซเมอร์

 

 
 
 
สมองผ่อนคลาย หลับสบาย ด้วย"ข้าวกล้องงอก"

หลากสรรพคุณข้าวกล้องงอก สารกาบาสุดโดดเด่น ทำกินเองก็ยังได้

วันศุกร์ 26 เมษายน 2556 เวลา 00:00 น.
 
 
 
 
 

สอบถามเพิ่มเติมโทร.086-3265553,090-9610626

 

 

 

 

คนรักสุขภาพและใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมานี้ คงสังเกตเห็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากข้าวกล้องงอก (GERMINATED BROWN RICE : GBR) หรือที่เรียกว่า กาบา ไรซ์ กันบ่อยๆ ใช่ไหมคะ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมักชูว่า ข้าวชนิดนี้มีสารอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน วิตามินบี วิตามินอี กรดโฟลิค และที่ถูกเน้นให้โดดเด่นเป็นพระเอกขึ้นมา คือ กาบา (GABA) และคงถึงเวลาแล้ว ที่คนรักสุขภาพอย่างเราๆ จะมาทำความรู้จักกับสารกาบานี้ให้มากขึ้นค่ะ

กาบา เป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ กาบา ยังถือเป็นสารสื่อประสาทประเภท สารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองจากการกระตุ้น ซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย ทั้งยังช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (anterior pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อกระชับและเกิดสารไลโปโทรปิค (lipotropic) ซึ่งเป็นสารป้องกันการสะสมของไขมัน

ในปัจจุบันวงการแพทย์มีการใช้สารกาบา รักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทหลายโรค เช่น โรควิตกกังวล เครียด นอนไม่หลับ โรคลมชัก และกาบายังมีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต ลดปริมาณคลอเรสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งความเสี่ยงจากการเกิดอัลไซเมอร์ และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางด้วย

สารกาบาจากธรรมชาตินั้น มีอยู่ใน "คัพภะ ของข้าว" เผยชื่อนี้มา ผู้อ่านอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร สำหรับ คัพภะ ของข้าว ก็คือส่วนของเม็ดข้าวที่รากจะงอก โดยคัพภะข้าว ประกอบไปด้วย โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และสารกาบา

ข้าวกล้องหรือข้าวไม่ขัดสีทุกประเภททุกสายพันธุ์ ล้วนมีสารกาบา แต่มากน้อยต่างกันตามสายพันธุ์ โดยในข้าวกล้องงอก มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติถึง 15 เท่า เหตุนี้เองจึงทำให้ข้าวกล้องงอก กลายเป็นข้าวที่มีบทบาทสำคัญสำหรับคนรักสุขภาพในปัจจุบัน และทราบไหมคะว่า จริงๆ แล้วเราสามารถเพาะข้าวกล้องงอกเองได้...

ก่อนจะเพาะข้าวกล้องงอก ให้เตรียมข้าวกล้อง (ข้าวกระเทาะเปลือกที่ไม่ขัดสี) ใช้ได้จากข้าวทุกประเภท เช่น ข้าวสีขาว จำพวกข้าวกล้องหอมมะลิขาว, ข้าวสีแดง เช่น ข้าวกล้องมันปู ข้าวกล้องหอมมะลิแดง หรือข้าวหอมกุหลาบแดง และข้าวสีดำคือข้าวกล้องหอมนิล เคล็ดลับที่แนะนำ คือ ข้าวที่จะนำมาเพาะ ต้องเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ ที่สีเอาเปลือกออกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ส่วนข้าวกล้องที่บรรจุในถุงขายตามศูนย์การค้าทั่วไปก็พอจะเพาะได้ แต่ก่อนจะเพาะ ควรทดลองเพาะแต่น้อยๆ ประมาณ 5-10 เม็ด เพื่อตรวจสอบว่า เพาะแล้วจะขึ้นหรือไม่

วิธีการเพาะ นำข้าวกล้องจะเพาะเป็นข้าวงอกไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเทน้ำออก แล้วใช้ผ้าเปียกมาห่อข้าวนั้นไว้ให้ชื้น พอตกเย็นกลับมาเปิดดู ถ้ามีการงอก จะสังเกตเห็นว่า ตรงจมูกข้าวจะมีตุ่มสีขาวๆ นูนขึ้นมา นั่นแสดงว่าเพาะขึ้น กรณีเพาะในหน้าหนาว อากาศที่เย็นมักจะงอกยาก หลังแช่น้ำไว้ 1 คืน อาจต้องห่อผ้าไว้ 2 วัน

และจากผลวิจัยต่างๆ มักชี้ว่า จังหวะที่ดีที่สุดที่จะนำมาหุง คือ ช่วงที่งอกได้ประมาณ 1 มิลลิเมตร ข้าวที่หุงจะนุ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่สะดวกแช่ข้าวทุกครั้งที่จะทาน ก็สามารถทำเก็บไว้ได้ ด้วยการแช่ข้าวและห่อด้วยผ้าเปียกจนงอก พองอกได้ที่ก็นำไปตากจนแห้ง ใส่โหลไว้เหมือนข้าวสารปกติ แต่การทำเก็บไว้คราวละมากๆ ต้องระวังเรื่องของมอดแมลง เนื่องจากข้าวกล้องงอกมีกลิ่นหอมมาก การรบกวนจากมอดแมลงจะมากกว่าข้าวสารทั่วไปค่ะ

ไม่ยากไปใช่ไหมคะ กับการหาอะไรสนุกๆ ทำ เพื่อให้ได้ข้าวดีมีประโยชน์ โดยรวมๆ แล้วการทานข้าวกล้องงอก นอกจากจะได้ประโยชน์จากสารกาบา ที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์(ความจำเสื่อม) ช่วยผ่อนคลาย ทำให้จิตใจสงบ หลับสบาย ลดความเครียดวิตกกังวล และลดความดันโลหิตแล้ว ยังมีใยอาหารช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ และลดอาการท้องผูก มีวิตามินอี ลดการเหี่ยวย่นของผิว วิตามินบีที่จำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ

แสนจะมีประโยชน์ขนาดนี้ ทานข้าวกล้องงอกกันดีกว่าค่ะ.

"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy

ภาพประกอบจาก nutrition.anamai.moph.go.th

guest

Post : 2015-02-06 11:50:43.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สารอาหารในโปรตีนเกษตร

วิธีการใช้โปรตีนเกษตร
นำมาแช่ในน้ำเย็น โดยใช้โปรตีนเกษตร 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน ใช้เวลา
ประมาณ 5 นาที จะดูดน้ำจนพองนิ่ม (หรือแช่ในน้ำเดือดใช้เวลา 2 นาที)
บีบน้ำออก นำไปประกอบอาหารได้

 

   

วิธีการใช้โปรตีนเกษตร
ปริมาณสารอาหารในโปรตีนเกษตร 100 กรัม

 

 

โปรตีน

49.76

กรัม

คาร์โบไฮเดรต (รวม crude fiber)

40.89

กรัม

ใยอาหาร

13.6

กรัม

เถ้า

6.78

กรัม

ความชื้น

2.15

กรัม

ไขมัน

0.42

กรัม

พลังงาน

366.38

กิโลแคลอรี่

โพแทสเซียม

6.71

กรัม

ฟอสฟอรัส

773.7

มก.

แคลเซียม

138.9

มก.

เหล็ก

6.8

มก.

โซเดียม

0.95

มก.

ไนอะซีน

2.35

มก.

วิตามินบี 1

0.26

มก.

วิตามีนบี 2

0.26

มก.

 
   

กรดอะมิโน

 

 

ลูซีน

3.98

กรัม

ไลซีน

3.11

กรัม

ฟีนิลอะลานีน

2.85

กรัม

วาลีน

2.25

กรัม

ทรีโอนีน

2.18

กรัม

ไอโซ-ลูซีน

2.13

กรัม

ไทโรซีน

1.88

กรัม

ทริปโตเฟน

0.91

กรัม

ซิสตีน

0.8

กรัม

 
     

 

 

guest

Post : 2015-02-06 11:22:53.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โปรตีนเกษตร(อาหารเจ)ป้องกันมะเร็ง

ผลวิจัยยืนยันโปรตีนเกษตรไม่ก่อให้เกิด มะเร็ง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กันยายน 2551 14:17 น.

ผลวิจัยชี้โปรตีนเกษตรจากถั่วเหลืองไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบุกินเจเป็นผลดีได้รับกากใยจากผักและผลไม้ ช่วยดักสารพิษ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงผลการวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารเจที่ทำจาก โปรตีนถั่วเหลือง หรือกลูเตนจากแป้งสาลี

ซึ่งผลิตเป็นอาหารประเภท ไส้อั่ว ไส้กรอก ปลาเค็ม และลูกชิ้น สามารถก่อกลายพันธุ์ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้หรือไม่ จากการศึกษาพบว่า ผลิตภัณฑ์อาหารทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ แต่ในทางตรงกันข้ามสามารถลดฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์ได้ นอกจากนี้ ยังอาจช่วยยับยั้งหรือลดความเสี่ยงในการก่อกลายพันธุ์ได้ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเอนไซม์ที่ทำลายสารพิษได้
นอก จากนี้ อาหารเจมีผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก คนที่กินเจจึงจะได้รับกากใยจากผักและผลไม้ในปริมาณที่มากพอ ซึ่งจะช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยดักสารพิษในร่างกาย ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แล้วยังมีสารพฤกษเคมีต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังที่ไม่ ติดต่อ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้กินอาหารเจควรระวัง คืออาหารเจมักมีไขมันสูง จึงไม่ควรกินอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมากเกินไป

 

guest

Post : 2015-01-21 14:27:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สับปะรดกับการบำรุง ดูแล

 . #ขายส่งสับปะรด4มุมเมือง #ไปทั่วไทย ( #ไร้สาร )
#บ้านห้วยหมากแดง #ต.ท่าหินโงม อ.เมือง #จ.ชัยภูมิ
เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้านมี #อาชีพ #ปลูก #สับปะรด ทั้งหมู่บ้าน มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากอาศัยอยู่ #บนภูเขาสูง ไม่สามารถทำนาได้ #ดินเหมาะ ในการ #ปลูกสับปะรด ในอดีตสมัยบรรพบุรุษนำ #สับปะรดหวาน ไป #แลกข้าว
ปัจจุบันปลูกส่ง #โรงงาน และทำเป็น #สับปะรดกวน
และเป็นสินค้า #OTOP #สับปะรดไร้สาร ของหมู่บ้าน
***เป็นย่านขายปลีกและ #ขายส่งสับปะรด คุณภาพดี ราคาถูก ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน #จังหวัดชัยภูมิ ในเขต #บ้านห้วยหมากแดง ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ
เนื่องจากบริเวณโดยรอบมีการปลูกสับปะรดจำนวนมากเป็น 1,000 ไร่
แต่ละปีมีผลผลิตออกสู่ตลาด กว่า 1# หมื่นตัน
ด้วยขนาดที่พอเหมาะ รสชาติหวาน
ในช่วงฤดูแล้ง จึงมีรถบรรทุกจากโรงงานมารับสับปะรดไม่ขาดสาย
สมัยก่อนสับปะรดในระแวกนี้ปลูกมาก
จนผลผลิตล้นตลาดจึงมีราคาถูก
ชาวบ้านจึงนำสับปะรดนำไป #แลกเปลี่ยน #สินค้า #แทนเงิน
ที่นิยมคือ นำสับปะรดไปแลกข้าวตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งในชัยภูมิและต่างจังหวัด
***อันเป็นตำนานสับปะรดหวานแลกข้าว
(((และเป็นเส้นทาง #ท่องเที่ยว มอหินขาว #ชมมอหินขาว )))
ซื้อสับปะรดหวาน ราคาถูก เป็นฝาก และรับประทานอาหาร ที่ #เขื่อนลำปะทาว ต.เก่าย่าดี ห่างจาก มอหินขาวประมาณ 10 กม.
และห่างจากตัวจังหวัดชัยภูมิไม่มากนัก
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร 089-9096579 #ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง 086-3265553
#ส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง #สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง

การใส่ปุ๋ยสับปะรด


ธาตุอาหารที่จำเป็นและการใช้ปุ๋ยเคมีในสับปะรด

สับปะรดเป็นพืชที่ต้องการธาตุไนโตรเจน และโพแทสเซียมสูง ถ้าขาดไนโตรเจนจะเริ่มแสดงอาการที่ ใบอ่อนจะมีสีเขียวจาง ๆ แต่ใบแก่ยังคงมีสีเขียวเข้ม ต่อมาใบที่งอกใหม่จะมีขอบสีแดง แต่บัวใบสีเหลืองซีดถึงช่วงนี้แล้วต้องรีบแก้ไขโดยให้ปุ๋ยทันที มิฉะนั้นจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก หน่อและตะเกียงจะไม่เกิดเลย ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตเป็นแหล่งไนโตรเจน ที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพงนัก
ถ้าขาดโพแทสเซียม ปลายใบจะไหม้ จะมีจุดไหม้ที่ใบแก่ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและเหี่ยวแห้งไป ผลมีขนาดเล็กสุกช้า และมีปริมาณกรดในเนื้อสับปะรดน้อยมาก ธาตุโพแทสเซียมนี้ได้จากปุ๋ยโพแทสเซียมซัลเฟตเป็นส่วนใหญ่ ความต้องการธาตุฟอสฟอรัสในสับปะรด นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับธาตุอาหารหลักทั้งสอง เพราะส่วนใหญ่ในดินมีฟอสฟอรัสเพียงพออยู่แล้ว แต่ถ้าในดินขาดธาตุฟอสฟอรัสแล้วจะทำให้ต้นไม่แข็งแรง หน่อและตะเกียบจะลดจำนวนลงมาก
อาการขาดธาตุเหล็ก เริ่มจากใบอ่อนมีสีซีดคล้ายขาดไนโตรเจนและมีรอยแต้มสีแดงขึ้นทั่วไป มีสีน้ำตาลที่ปลายรากและไม่มีรากแขนงให้เห็น ผลจะแก่เร็วขึ้น แต่มีกรดในเนื้อต่ำ การแก้ไขอาการขาดธาตุเหล็กนั้นโดยการใช้เหล็กซัลเฟตฉีดพ่นในอัตรา 1-3 ในบริเวณที่มีแมงกานีสสูงหรือในดินที่มีระดับความเป็นกรด-ด่างที่สูงกว่า 5.8 จะพบอาการขาดธาตุเหล็กอยู่เสมอในดินทรายที่มีอินทรียวัตถุต่ำจะพบอาการขาดธาตุทองแดง และสังกะสีอาการปรากฏคือที่ยอดของใบอ่อน จะบิด เบี้ยวใบจะแคบ และมีสีเหลืองอ่อนความ ทนทานของผล ต่อแสงแดดจะลดลง ทำให้ผิวเปลือกไหม้เกรียมเป็นหย่อม ๆ แก้ไขโดยใช้สังกะสีซัลเฟตและทองแดงซัลเฟตในรูปสารละลายฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นและใบ ปุ๋ยที่จะใส่ให้สับปะรดนับเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมความเป็นกรด-ด่างของดิน การใช้ปุ๋ยเคมีในรูปแคลเซียมจะมีส่วนเพิ่มความเป็นด่าง ในขณะเดียวกันการใช้ปุ๋ยเคมีที่อยู่ในรูปซัลเฟตจะเพิ่มความเป็นกรดในดิน การให้ปุ๋ยสับปะรดนั้นผู้ปลูกแต่ละรายก็ใช้ปุ๋ยแตกต่างกันไป เนื่องจากสภาพดิน และปัจจัยอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ปุ๋ย 3-4 ครั้งต่อรุ่น ปุ๋ยที่ใช้มากคือ ปุ๋ยไนโตรเจนและปุ๋ยผสมสูตรต่าง ๆ เช่น 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม
ปุ๋ยสำหรับสับปะรด กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำการใส่ปุ๋ยดังนี้ คือ
สับปะรดรุ่นแรก
ครั้งที่ 1 ก่อนปลูกใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก 1 ตันผสมปุ๋ยหินฟอสเฟตสูตร 0-3-0 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวหลังไถแปรตามแนวร่องปลูกเพื่อปรับปรุงดินสำหรับกระตุ้นการออกราก
ครั้งที่2 หลังปลูก1-2 เดือนหรือระยะเริ่มออกรากใส่ปุ๋ยสูตรที่มีสัดส่วนไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น ใส่ดินโคนต้นฝังหรือกลบปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขณะดินมีความชื้นเพียงพอ
ครั้งที่ 3 หลังปลูก 4-6 เดือน ใส่ปุ๋ยครบสูตรที่มีสัดส่วนโพแทสเซียมสูง 3:1:4 เช่นสูตร 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม, 15-5-20, 13-13-21 หรือสูตรใกล้เคียง ซึ่งไนโตรเจนไม่ควรเกิน 15% ป้องกันสารไนเตรทตกค้างอัตรา 10 กรัมต่อต้น ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย
ครั้งที่4 ก่อนบังคับผล1-2 เดือน ให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมได้แก่ แคลเซียม โบรอน โดยฉีดพ่นเข้าทางใบ
ครั้งที่ 5 หลังบังคับผลประมาณ 3 เดือน ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) หรือโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย
สับปะรดที่ไว้หน่อ(หลังเก็บผลรุ่นแรก)
- หลังจากเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 บริเวณกาบใบล่างอัตรา 10กรัมต่อต้น เพื่อบำรุงต้นตอและเร่งหน่อ
- ระยะดูแลรักษาต้นตอจนถึงระยะบังคับผล และระยะเก็บเกี่ยวใส่สูตรและอัตราเดียวกับต้นรุ่นแรก (ครั้งที่ 3-5) ถ้ามีฝนให้ใส่ที่กาบใบหน้าแล้งอาจใช้วิธีฉีดพ่นทางใบ

 

. #ขายส่งสับปะรด4มุมเมือง #ไปทั่วไทย ( #ไร้สาร )

#บ้านห้วยหมากแดง  #ต.ท่าหินโงม  อ.เมือง  #จ.ชัยภูมิ

เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้านมี #อาชีพ #ปลูก #สับปะรด ทั้งหมู่บ้าน มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากอาศัยอยู่ #บนภูเขาสูง ไม่สามารถทำนาได้  #ดินเหมาะ ในการ #ปลูกสับปะรด ในอดีตสมัยบรรพบุรุษนำ #สับปะรดหวาน ไป #แลกข้าว

ปัจจุบันปลูกส่ง #โรงงาน และทำเป็น #สับปะรดกวน

และเป็นสินค้า  #OTOP #สับปะรดไร้สาร ของหมู่บ้าน

***เป็นย่านขายปลีกและ #ขายส่งสับปะรด คุณภาพดี ราคาถูก ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน #จังหวัดชัยภูมิ ในเขต #บ้านห้วยหมากแดง ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

เนื่องจากบริเวณโดยรอบมีการปลูกสับปะรดจำนวนมากเป็น 1,000 ไร่

แต่ละปีมีผลผลิตออกสู่ตลาด กว่า 1# หมื่นตัน

ด้วยขนาดที่พอเหมาะ รสชาติหวาน

ในช่วงฤดูแล้ง จึงมีรถบรรทุกจากโรงงานมารับสับปะรดไม่ขาดสาย

สมัยก่อนสับปะรดในระแวกนี้ปลูกมาก

จนผลผลิตล้นตลาดจึงมีราคาถูก

ชาวบ้านจึงนำสับปะรดนำไป #แลกเปลี่ยน #สินค้า #แทนเงิน

ที่นิยมคือ นำสับปะรดไปแลกข้าวตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งในชัยภูมิและต่างจังหวัด

***อันเป็นตำนานสับปะรดหวานแลกข้าว

(((และเป็นเส้นทาง #ท่องเที่ยว มอหินขาว #ชมมอหินขาว )))

ซื้อสับปะรดหวาน ราคาถูก เป็นฝาก และรับประทานอาหาร ที่ #เขื่อนลำปะทาว ต.เก่าย่าดี ห่างจาก มอหินขาวประมาณ 10 กม.

และห่างจากตัวจังหวัดชัยภูมิไม่มากนัก

#ขายส่งสับปะรดไร้สาร 089-9096579 #ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง 086-3265553
#ส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง #สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง
#สับปะรดไร้สาร  http://ricebyching.ran4u.com/sm_31999_143456_%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%28%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%294%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2086-3265553.htm
#สับปะรด4มุมเมือง  https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1559425114329756&id=1559077171031217
#สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง  https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%944%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/1559077171031217
https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484
https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/Bf2ZhKPPFY2
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร  https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/LmHAif5UhUP
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง  http://ricebyching.ran4u.com/detailClubForum.do?clubId=31999&clubForumMenuId=64363&clubForumId=41191
 

http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&frm=1&source=web&cd=2&ved=0CCYQFjAB&url=http%3A%2F%2Fpr.prd.go.th%2Fchaiyaphum%2Fewt_news.php%3Fnid%3D1166&ei=gem3VKG0IdeQuATYrYC4Cg&usg=AFQjCNFCgruXC-6A9A6wzag7IEAABLK7Lg&sig2=GjcdIPnjygtb1kZPPYNZuw .

guest

Post : 2015-01-21 14:18:12.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สับปะรดแปรรูป

 

        

ประโยชน์จากสับปะรดเพื่อการแปรรูปสับปะรดเป็น..น้ำส้มสายชู

       อยู่่บ้านว่างๆมาลองทำน้ำส้มสายชูจากเปลือกสับปะรดจะได้น้ำส้มแท้บริสุทธิไม่มี สารเคมีเจือปนและยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้นเพราะว่าในน้ำส้มสับปะรดนั้นช่วยแก้ ปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วยวัสดุ อุปกรณ์

  1. เปลือกสับปะรด 1 กิโลกรัม
  2. น้ำตาลทราย 300 กรัม
  3. ยีสต์ทำขนมปัง 2 ช้อนชา
  4. หม้ออะลูมีเนียม
  5. เตาไฟ
  6. ขวดโหลปากกว้าง (สำหรับใส่เปลือกสับปะรด)
  7. ถุงพลาสติกพร้อมยางรัดปิดปากขวดโหล

วิธีทำ

  1. หั่น หรือ บดเปลือกสับปะรดให้ละเอียด
  2. ใส่เปลือกสับปะรดลงในหม้ออะลูมีเนียมเติมน้ำให้ท่วมเปลือกสับปะรด
  3. ยก หม้อตั้งไฟเติมน้ำตาลทรายลงในหม้อ ต้มให้เดือด และถ้าน้ำงวดลงให้เติมน้ำเพิ่มเล็กน้อย แล้วชิมดูซิว่ามีความหวานนิดๆ หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่ม
  4. จากนั้นต้มให้เดือดอีกครั้ง แล้วยกทิ้งไว้ 5 นาที เพื่อให้เย็นลง
  5. ลวกขวดโหลด้วยน้ำเดือด แล้วคว่ำให้น้ำออก
  6. เทเปลือกสับปะรดลงในขวดโหล แล้วปิดปากขวดโหลด้วยพลาสติก เอายางรัดไว้ให้แน่น แล้วก็ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น (ที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส)
  7. ใส่ ยีสต์ 2 ช้อน ลงในโหล แล้วใช้ช้อนสะอาด (อย่าลืมลวกน้ำร้อนก่อนนะ) คนเบาๆ จากนั้นปิดปากขวดด้วยพลาสติก ตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม ประมาณ 2- 3 สัปดาห์
  8. นำ น้ำส้มสายชูที่กรองเอาแต่น้ำแล้วเทใส่ขวดปากแคบ (เช่นขวดน้ำหวาน) ปิดฝา แล้วก็นำไปแช่ตู้เย็น เราก็จะได้น้ำส้มสายชูใส น่าใช้ และยังปราศจากสารเคมีเจือปนด้วย

หลังจากหมักไว้ 2-3 วัน จะเกิดฟองก๊าซ นั่นแสดงว่าได้เกิดขบวนการหมักของยีสต์ขึ้น

เรา สามารถนำน้ำส้มสายชูที่ทำขึ้นนี้ไปใช้ประกอบอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติได้เหมือน กับน้ำส้มสายชูที่มีขายในท้องตลาด และบางทีอาจจะปลอดภัยกว่าอีกด้วย

guest

Post : 2015-01-20 20:34:00.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์จากสับปะรด

 

 

 

ขายส่งสับปะรด(ไร้สาร)4มุมเมืองไปทั่วไทย086-3265553 เป็นสับปะรด(ไร้สาร) ที่ปลูกบนเขา ซี่งมีและเป็นแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ สับปะรด(ไร้สาร) นี้ทานแล้วจะไม่รู้สึกระคายระเคืองลิ้น(ไม่แพ้) และผลผลิตพอเพียง ที่จะรองรับความต้องการของตลาด ทางเรา ขายส่งสับปะรด(ไร้สาร)4มุมเมืองไปทั่วไทย086-3265553 จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้บริการ สับปะรด(ไร้สาร) สู่ทั่ว 4มุมเมืองไปทั่วไทย

สับปะรดมีเอ็นไซม์ช่วยย่อยจากธรรมชาติ

 

คนเราเมื่อเกิดธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ปวดท้องร้องครวญคราง ดูน่าเวทนาเป็นกำลัง โถ...ทำตัวเองแท้ๆ สวาปามมากเกิน กรดในกระเพาะรับไม่ไหว อาหารย่อยไม่ทันเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

 

 

ลองกิน สับปะรดหวานอมเปรี้ยวดู ช่วยได้นะเออ เพราะสับปะรดมีเอ็นไซม์ช่วยย่อยจากธรรมชาติ นอกจากช่วยย่อยยังมีแนวโน้มบรรเทาโรคร้าย อาทิ ช่วยให้แผลผ่าตัดทุเลาเร็วขึ้น ลดอาการอักเสบ บวมแผล หรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ริดสีดวงทวาร อาการเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูกและข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์ และอาการปวดประจำเดือน

ใครๆ ก็รู้จักสับปะรด ทั้งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบแม่น้ำปารานา-ปรากวัย และทางตอนใต้ของบราซิล ไม่ใช่ผลไม้ไทยสักหน่อย แต่มันก็ถูกนำไปแพร่พันธุ์ทั่วโลกด้วยคุณประโยชน์ในตัวเอง เริ่มจากชาวอินเดียนแดงนำสับปะรดจากอเมริกาใต้ไปปลูกเป็นพืชไร่และเผยแพร่สายพันธุ์ไปยังอเมริกากลางถึงเม็กซิโก ต่อมาจึงเดินทางสู่ยุโรป ชาวสเปนเรียกสับปะรดว่า Pina โปรตุเกสเรียก Abacaxi ดัชท์ และฝรั่งเศสเรียก Ananas แถบอินโดนีเซีย มาเลเซีย เรียก Nnas กัวเตมาลาเรียก Pine

ประโยชน์พื้นฐานที่รู้จักกันดีคือ เป็นผลไม้เปรี้ยวหวานฉ่ำลิ้นชวนน้ำลายสอ หรือจะทำเป็นผักใส่แกง ชาวมาเลย์ใช้สับปะรดใส่แกงเผ็ด และปรุงอาหารคาวเหมือนคนไทย ฟิลิปปินส์ใช้เนื้อสับปะรดหมักทำขนมหวาน ในแอฟริกากินยอดอ่อนสับปะรดเป็นผักหรือผสมสลัด หน่ออ่อนมีขายในตลาดกัวเตมาลาเป็นผักสดเรียก "hijos de pina" สับปะรดได้ขนาดปอกเอาเนื้อทำเป็นแว่นใส่กระป๋อง ส่วนเปลือกและแกนไม้ทิ้ง นำมาบีบทำน้ำสับปะรด สำหรับเติมในสับปะรดกระป๋อง หรือใช้ในอุตสาหกรรมขนมและเครื่องดื่ม กากที่เหลือจากการบีบครั้งแรกนำไปบีบครั้งที่สองได้น้ำเปลือก ใช้ทำน้ำส้มสายชู หรือผสมกับกากน้ำตาลหมักทำแอลกอฮอล์

สุดท้ายเมื่อเหลือแต่กากจริงๆ นำไปทำให้แห้งใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้อีก คุ้มจริงๆ เส้นใยสับปะรดได้จากใบสับปะรด มีคุณสมบัติแข็งแรง ลื่นคล้ายไหม สีขาว ชาวฟิลิปปินส์รู้วิธีสกัดใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1591 นำมาผลิตผ้าใยสับปะรด ชาวกวางตุ้งนำเส้ยใยสับปะรดมาทอผ้าได้ผ้าเนื้อหยาบ ชาวเกาะบอร์เนียวใช้แทนด้าย ชาวอินเดียใช้ด้ายใยสับปะรดเย็บรองเท้า ถือกันว่าดี สับปะรดอ่อนกินไม่ได้ เป็นพิษ กัดและระคายเคืองคอหอย หากกินเข้าไป และยังทำให้ท้องเสียรุนแรง การกินสับปะรดมากๆ ติดต่อกันนานๆ อาจทำให้เกิดก้อนนิ่วในทางเดินอาหาร

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์มากมายอยู่ในสับปะรด ซึ่งราคาถูก เรียกว่าคุ้มค่าคุ้มเกินราคา...

 

 

ขายส่งสับปะรด(ไร้สาร)

086-3265553

https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%944%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/1559077171031217?fref=photo

1.   https://www.facebook.com/profile.php?id=100008069922241  เฟสบุ๊ค ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด

2.   http://ricebyching.ran4u.com เว็บ

3.   http://ricegoodcover.com เว็บ

 4. https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-Rice%E0%B8%AF/992777534071355?fref=nf  เพจ  ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Rice

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/home.do?clubId=31999

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/viewAboutUs.do?clubId=31999

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/viewShopMenu.do

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145904_414926_ข้าวกล้อ

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145904_414262_ข้าวไรซ์

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145904_414263_ข้าวกล้อ

ข้าวไรซ์เบอรี่ http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145904_414917_ข้าวกล้อ

ข้าวกล้อง ไร้สาร  http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145904_416972_โปรโมชั่

ข้าวกล้อง ไร้สาร  http://ricebyching.ran4u.com/viewShopMenu.do

ข้าวกล้อง ไร้สาร  http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145903_414260_ข้าวกล้อ

ข้าวกล้อง ไร้สาร http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145903_414261_ข้าวกล้อ

ข้าวกล้อง ไร้สาร http://ricebyching.ran4u.com/p_31999_145903_416988_ข้าว4กษั

ข้าวกล้อง ไร้สาร http://ricebyching.ran4u.com/listClubForum.do

ข้าวกล้อง ไร้สาร http://ricebyching.ran4u.com/viewContactUs.do?clubId=31999

http://ricebyching.ran4u.com/viewPayment.do?clubId=31999

https://www.facebook.com/profile.php?id=100008069922241

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/997553573593751/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996028243746284/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996016493747459/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996015050414270/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996013450414430/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996011763747932/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996009703748138/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/996001963748912/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/995999353749173/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/995996883749420/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/995961230419652/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/995959837086458/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/995955857086856/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/998980423451066/?type=1&permPage=1

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/998925966789845/?type=1&permPage=1

ขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณโดยถ้วนทั่ว มาณ.ที่นี้ขอความสวัสดีมีแด่ทุกท่านเทอญ

guest

Post : 2015-01-20 13:37:45.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สับปะรดไร้สารชัยภูมิ

.
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร 089-9096579 #ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง 086-3265553
#บ้านห้วยหมากแดง#ต.ท่าหินโงม อ.เมือง #จ.ชัยภูมิ

เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้านมี #อาชีพ #ปลูก #สับปะรด ทั้งหมู่บ้าน มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากอาศัยอยู่ #บนภูเขาสูง ไม่สามารถทำนาได้ #ดินเหมาะ ในการ #ปลูกสับปะรด ในอดีตสมัยบรรพบุรุษนำ #สับปะรดหวาน ไป #แลกข้าว ...

ปัจจุบันปลูกส่ง #โรงงาน และทำเป็น #สับปะรดกวน

และเป็นสินค้า #OTOP #สับปะรดไร้สาร ของหมู่บ้าน

***เป็นย่านขายปลีกและ #ขายส่งสับปะรด คุณภาพดี ราคาถูก ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน #จังหวัดชัยภูมิ ในเขต #บ้านห้วยหมากแดง ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

เนื่องจากบริเวณโดยรอบมีการปลูกสับปะรดจำนวนมากเป็น 1,000 ไร่

แต่ละปีมีผลผลิตออกสู่ตลาด กว่า 1# หมื่นตัน

ด้วยขนาดที่พอเหมาะ รสชาติหวาน

ในช่วงฤดูแล้ง จึงมีรถบรรทุกจากโรงงานมารับสับปะรดไม่ขาดสาย

สมัยก่อนสับปะรดในระแวกนี้ปลูกมาก

จนผลผลิตล้นตลาดจึงมีราคาถู

ชาวบ้านจึงนำสับปะรดนำไป #แลกเปลี่ยน #สินค้า #แทนเงิน

ที่นิยมคือ นำสับปะรดไปแลกข้าวตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งในชัยภูมิและต่างจังหวั

***อันเป็นตำนานสับปะรดหวานแลกข้าว

(((และเป็นเส้นทาง #ท่องเที่ยว มอหินขาว #ชมมอหินขาว )))

ซื้อสับปะรดหวาน ราคาถูก เป็นฝาก และรับประทานอาหาร ที่ #เขื่อนลำปะทาว ต.เก่าย่าดี ห่างจาก มอหินขาวประมาณ 10 กม.

และห่างจากตัวจังหวัดชัยภูมิไม่มากนัก

#ส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง #สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง
#สับปะรดไร้สาร
http://ricebyching.ran4u.com/sm_31999_143456_ขายส่งสับปะรด%28ไร้สาร%294มุมเมืองไปทั่วไทย086-3265553.htm
#สับปะรด4มุมเมือง https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1559425114329756&id=1559077171031217
#สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง https://www.facebook.com/pages/ขายส่งสับปะรด4มุมเมืองไปทั่วไทย/1559077171031217
https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484
https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/Bf2ZhKPPFY2
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/LmHAif5UhUP
#ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง http://ricebyching.ran4u.com/detailClubForum.do?clubId=31999&clubForumMenuId=64363&clubForumId=41191


http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q&esrc=s&frm=1&source=web&cd=2&ved=0CCYQFjAB&url=http%3A%2F%2Fpr.prd.go.th%2Fchaiyaphum%2Fewt_news.php%3Fnid%3D1166&ei=gem3VKG0IdeQuATYrYC4Cg&usg=AFQjCNFCgruXC-6A9A6wzag7IEAABLK7Lg&sig2=GjcdIPnjygtb1kZPPYNZuw .

http://www.google.co.th/url…

 

 

#ขายส่งสับปะรดไร้สาร 089-9096579 #ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง 086-3265553

#ส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง #สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง

#สับปะรดไร้สาร  http://ricebyching.ran4u.com/sm_31999_143456_%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%28%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%294%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2086-3265553.htm

#สับปะรด4มุมเมือง  https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1559425114329756&id=1559077171031217

#สับปะรดไร้สาร4มุมเมือง  https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%944%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/1559077171031217

https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484

https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/Bf2ZhKPPFY2

#ขายส่งสับปะรดไร้สาร  https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/LmHAif5UhUP

#ขายส่งสับปะรดไร้สาร4มุมเมือง  http://ricebyching.ran4u.com/detailClubForum.do?clubId=31999&clubForumMenuId=64363&clubForumId=41191

 

https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts

 

https://plus.google.com/u/0/b/115214923133849293484/115214923133849293484/posts/PUWpt6hLRZc

 

guest

Post : 2015-01-18 16:38:22.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กรรมวิธีสกัดน้ำมันมะรุม

วิธีการสกัดน้ำมันมะรุม Seeds of Health

  • การสกัดเย็น ด้วยเครื่องสกรูเพรส (Screw Press) น้ำมันสกัดเย็น คือ การแยกน้ำมันออกจากเมล็ดโดยไม่ใช้ความร้อนและสารเคมี แล้วตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอนจึงได้น้ำมันที่ใสบริสุทธิ์ และคงคุณค่าและสรรพคุณของของมะรุม
  • วิธีการบีบอัดโดยเครื่องสกรูเพรส (Screw Press) น้ำมันมะรุมที่บีบออกมาโดยแรงบดไประหว่างสกรูในแนวนอน จนได้น้ำมันออกมา น้ำมันประเภทนี้จัดเป็นน้ำมันคุณภาพดี จะได้น้ำมันคุณภาพดี มีสี กลิ่น รส ตามธรรมชาติเพราะไม่ผ่านความร้อนเลย แต่จะมีความร้อนเกิดขึ้นจากแรงเสียดสีระหว่างการบด ปริมาณน้ำมันที่สกัดได้ ประมาณ 30-40% มากกว่าการสกัดด้วยไฮโดรลิก เมื่อได้น้ำมันจะต้องนำไปกรองด้วยกระดาษกรอง
  • วิธีการสกัด เริ่มจากการนำเมล็ดมะรุมจากฝักแก่มาตากแดด เพื่อไล่ความชื้น แล้วทำการบีบด้วยเครื่องบีบอัดระบบสกรูเพรส จากเมล็ดมะรุมแห้งปริมาณ 8-12 กิโลกรัม จะสกัดได้น้ำมันมะรุม 1 ลิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องด้วยข้อดีของน้ำมันมะรุมที่สกัดด้วยวิธีนี้ : จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้ช่วยลอไขมันพวกไตรกลีเซอไรด์ และลดคอเลสเตอรอลไม่ดีอีกด้วย

การสกัดน้ำมันมะรุมนั้นสามารถสกัดได้อีกหลายวิธี ดังนี้

  • สกัดน้ำมันมะรุมโดยการเคี่ยว (Rendering) โดยการนำเมล็ดมะรุมแก่มาบดให้ละเอียด แล้วนำไปใส่กระทะ เติมน้ำสองเท่าของเนื้อเมล็ดมะรุมที่บดแล้วนำไปตั้งไฟให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง หลังจากนั้นก็เคี่ยวกับไปพออ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำมันแยกตัวออกมา ลอยตัวเหนือน้ำหรือเคี่ยวจนน้ำระเหยออกหมด ก็จะได้น้ำมันออกมา แล้วกรองแยกเอาน้ำมันมะรุมมาบรรจุขวด
  • สกัดน้ำมันมะรุมโดยการกลั่น นำเมล็ดมะรุมในฝักแก่ มาบดละดอียดแล้วผสมน้ำ ต้มให้เดือด 5-10 นาที แล้วยกลงจากเตา นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใส่ขวดหรือภาชนะที่มีทรงสูง ทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อปล่อยให้น้ำมันแยกตัวเป็นชั้น จากนั้นจึงตักน้ำมันมากรองใส่ขวดเก็บไว้ ส่วนกากมะรุมที่เหลือนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ได้

        https://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=2ahk1syZEKU

 

 

งานวิจัย ด้านการป้องกันและการรักษาโรค

เมื่อไม่นานมานี้การศึกษาวิจัยในหลายประเทศได้แสดงให้เห็นคุณประโยชน์ของต้นมะรุมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณประโยชน์ในด้านอาหารและยา ซึ่งมีการค้นพบว่า มะรุมมีสรรพคุณในการรักษาโรคขาดสารอาหาร โรคตาเกือบทุกชนิด รวมทั้งยังมีแนวโน้มในการรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง และเอดส์อย่างได้ผล ทำให้มะรุมกำลังเป็นที่สนใจของหลายประเทศเช่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น จนได้รับการขนานนาม “มะรุม” ว่า ต้นไม้มหัศจรรย์

ประโยชน์ของมะรุมในการรักษาหรือป้องกันโรคหรือการติดเชื้อ สามารถผลิตได้หลายวิธีทั้ง การสกัด, การต้มสกัด, ครีม, บีบน้ำมัน, ตากแห้ง, บดผง โดยมีการนำมะรุมมาใช้เป็นยาปฏิชีวนะ, บรรเทาโรคความดัน, คลอเรสเตอรอลสูง, โรคลมชัก, ยาฆ่าเชื้อโรค, ฝีหนอง, แผลพุพอง, และ Hypoglycemic

แต่งานวิจัยเหล่านี้ไม่ได้รับการตีพิมพ์มากนัก ดังตัวอย่างเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ได้มีบทความเผยแพร่ เรื่องมะรุมที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่กลับไม่มีหลักฐานด้านงานวิจัยที่น่าเชื่อถือมารับรอง จึงทำให้การใช้มะรุมในทางการแพทย์และทางด้านโภชนาการไม่ได้รับการยอมรับมากนัก

ในกรณีของการทดลอง in-vitro (cultured cell) และ in-vivo (animals) ได้ยกระดับการแพทย์ท้องถิ่นที่ขึ้นมา เช่น มีงานที่ศึกษาเกี่ยวกับการยกระดับความหลากหลายของเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการขับสารพิษ(detoxation) และการต้านอนุมูลอิสระ(antioxidant)โดยการรักษาด้วยมะรุมหรือการสกัดphytochemical จากมะรุม

การทำงาน Antibiotic

คณะจากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ (BR Das), มหาวิทยาลัย Travancore (PR Kurup), และภาควิชาชีวะเคมี สถาบันวิทยาศาสตร์อินเดียนใน Bangalore (PLN Rao) ได้มีการวิจัยเพื่อจำแนกสารประกอบที่เรียกว่า pterygospermin(4) ซึ่งพบว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อจุลินทรีย์ และยังได้แสดงลักษณะการทำงานพิเศษในการต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์อีกด้วย

ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของนักเคมีที่มีชื่อเสียง Martin Ettlinger (Phd) โดย Benny Badgett ได้ระบุจำนวน glyosylated derivatives ของ benzyl isothiocyanate(5) (เช่น สารประกอบคาร์บอน 6 โมเลกุลในน้ำตาล และ rhamnose) (8) และต่อมาได้มีการค้นพบอีกครั้งโดย Kjaer และผู้ช่วยได้ร่วมมือกันแยกสารประกอบของ 4-(‘A-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate (6) และ isothiocyanate (2) และพิสูจน์การทำงานของสารประกอบที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา (เห็ด)

การศึกษาเรื่องอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อมนุษย์และสัตว์ (Table1) แสดงประสิทธิภาพการรักษาอาการติดเชื้อทั้งภายในและภายนอกโดยการใช้ใบ, ราก, เมล็ด, เปลือกไม้และดอกของมะรุม

นอกจากนี้สารประกอบนี้ยังมีฤทธิ์ต่อต้าน Helicobacter pylori ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถพบได้ในมนุษย์ทุกที่ในโลกโดยเฉพาะแหล่งชุมชนแออัด เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นปัจจัยหลักของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร (W.H.O องค์การอนามัยโลกได้จัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในปี 1993) สารประกอบเหล่านี้เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต่อต้าน H. pylori ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 100-fold ซึ่งจะต่ำกว่าที่ใช้ต้านแบคทีเรียชนิดอื่นและเห็ด รา

การป้องกันมะเร็ง

ตั้งแต่มีการนำมะรุมมาใช้ในการแพทย์พื้นบ้านซึ่งมีคุณค่าอย่างมากในการบำบัดผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอก ได้มีการใช้ ในการป้องกันมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้มีการแสดงสารประกอบ ที่มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส Epstein-Barr วึ่งได้ไปกระตุ้นกระบวนการสร้างแอนติบอดี้ในเซลล์ lymphoblastoid (ต่อมน้ำเหลือง Burkitt)

ในการศึกษาต่อมาของ Bharail และคณะได้ทำการตรวจสอบการป้องกันการเกิดเนื้องอกที่ผิวหนังและต่อมน้ำเหลืองของมะรุม และยังช่วยลดการเกิดหูดที่ผิวหนังด้วย

ในงานวิจัยอีกชิ้นพบว่า สารเบนซิลไทโอไซยา เนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน จากมะรุม สามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่า กลุ่มที่กินมะรุม เนื้องอกนผิวหนัง น้อยกว่ากลุ่มควบคุม และหนูที่ได้รับฝักมะรุม มีอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง จากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง

สารต้านอนุมูลอิสระ

ในธรรมชาติมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในอาหารที่มาจากพืชมากมาย อย่างวิตามินซี และวิตามินเอ และจำนวนของสารต้านอนุมูลอิสระจากพืชที่ถุกค้นพบมากขึ้นทุกวัน เฉพาะไอโอฟลาโวนอยด์ (คือสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายน้ำได้) ก็มีมากมายหลายพันชนิดเช่น คูมาริน (Coumarin) คาเทคิน (Catechin) แอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside) และโอโซฟลาโวน (Isoflavone)

Antioxidant เป็นสารที่ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวให้ช้าลงได้ ทำให้ผิวยังคงความเปล่งปลั่ง สดใส และมีชีวิตชีวา เราสามารถรับสารแอนติออกซิแดนต์ได้จากวิตามินเอ ซี และอี รวมถึงในสารประกอบอื่นๆ เช่นโคเอนไซม์ ๐10 หรือ ซีสเตอีน เป็นต้น

มะรุมช่วยชะลอความแก่

มะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ ดังนั้นการกินมะรุมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องและในปริมาณที่มากพอเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

โรคขาดสารอาหาร

ต้นมะรุมนิยมนำมาใช้กับคนที่มีอาการของโรคขาดสารอาหารโดยเฉพาะในเด็กอ่อนและแม่หลังคลอด โดยมี3องค์กรเอกชนที่สนับสนุน การนำมะรุมมาใช้ในเขตร้อนคือ Trees for Life, Church World Service และ Educational Concerns for Hunger Organization ใบมะรุมสามารถทานสด, นำมาปรุงอาหาร, หรือบดเป็นผงเก็บรักษาไว้ได้หลายเดือน โดยไม่เสียคุณค่าทางอาหาร ไม่ต้องแช่เย็น มะรุมเป็นแหล่งอาหารที่เหมาะกับประเทศในเขตร้อนเนื่องจากพืชที่มีใบเต็มต้นในช่วงปลายฤดูแล้งในขณะที่อาหารอื่นกำลังขาดแคลน โดยมีความแตกต่างในเรื่องของการนำมาประกอบอาหารและยารักษาโรค จากวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ (เปลือก, ผล, ใบ, เมล็ด, หัว, ราก, ดอก)

ปัจจุบันมีรายงานจำนวนมาก เกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของมะรุม ทั้งในบทความทางวิทยาศาสตร์และบทความทั่วไป ใบมะรุมมีวิตามินเอมากกว่าแครอท มีแคลเซียมมากว่านม มีธาตุเหล็กมากกว่าผักโขม มีวิตามินซีมากกว่าส้ม มีโพแทสเซียมมากกว่ากล้วย และมีโปรตีนเทียบเท่ากับนมและไข่ ซึ่งทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับภาวะการขาดแคลนอาหารที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

เปรียบเทียบสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่เป็นเบาหวานจาก ALLOXAN

มีการศึกษาสมุนไพรพื้นบ้านของประเทศอินเดียชนิดต่างๆ 30 ชนิดที่มีการใช้เพื่อลดน้ำตาลในเลือด ศึกษาโดยใช้สารสกัดเอทานอล 95% ทำให้แห้ง นำมาศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวานด้วย alloxan เป็นเวลา 2 สัปดาห์

โดยพบว่าสมุนไพร 24 ชนิดที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด เรียงลำดับจากมากไปน้อย ซึ่งมะรุมจัดอยู่ในลำดับต้นๆดังนี้ ตำลึง, Tragia Involucrate, Gymnema, ประดู่ ลูกซัด, มะรุม, หว้า, ชิงช้าชาลี, Swertia chirayita, มะระขี้นก, มะเดื่อชุมพร, Ficus benghalensis, พังพวยฝรั่ง, Premna integrifolia, หมามุ่ย, สมอพิเภก, Sesbenia aegyptiaca, สะเดา, Dendrocalamus hamiltonii, ขิง, มะตูม, Cinnamomum tamala, บวบขม, กะเพรา

ฤทธิ์ลดไขมันและคลอเรสเตอรอล

การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เทียบกับกลุ่มควบคุมนอกจากนี้กลุ่มทดลองมีไขมันในตับและไตลดลง สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดีย สามารถวัดผลได้เชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

งานวิจัยการให้สารสกัดใบมะรุม กรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโน ทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณ ไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับสารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน(silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้ ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติจริง

 

 

http://www.plakard.com/id-50e426e3e216a71e2d000000.html

 

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=978854858809546&id=976733132355052

 

https://plus.google.com/u/0/b/106884564332414799750/106884564332414799750

 

น้ำมันมะรุม บริสุทธิ์100%...

 

 

น้ำมันมะรุมเป็นสมุนทรไพรที่ให้คุณค่าอนันต์ และเป็นที่นิยมในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย น้ำมันเมล็ดมะรุมมีตัวยาที่ธรรมชาติสร้างสรรไว้ ออกฤทธิ์บำบัด ปกป้อง ป้องกัน ได้อย่างดีเยี่ยม และใบมะรุมก็สามารถใช้รับประทานเหมือนพืชผักทั่วๆไป ส่วนของเมล็ดแห้งมะรุม สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันมะรุม ใช้ลดการอักเสบกระทั่งน้ำมันเมล็ดแห้งมะรุม สามารถใช้เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเครื่องสำอางมากมาย

guest

Post : 2015-01-18 16:16:16.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  มีน้ำมันมะรุมจะสบาย108พันประการ

 

 

 

 

น้ำมันมะรุม บริสุทธิ์100%

 

 

#น้ำมันมะรุม

ด้วยกรรมวิธี #บีบเย็น #สรรพคุณ..ใช้ #ทาผิวหนัง #รักษา #โรคผิวหนัง จาก #เชื้อรา และ #เชื้อไวรัส รักษา #โรคเริม #งูสวัด รักษาและ #บำรุงผิวพรรณ ให้ #ชุ่มชื้น ใช้ทารักษา #แผลสด #หูด #ตาปลา ใช้ #ถูนวด #บรรเทา #อาการ... บริเวณที่ #ปวดบวม ตามข้อ รักษา #โรคไขข้ออักเสบ #เก๊าท์#รูมาติก เป็นต้น


#ชะลอความแก่
กล่าว กันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้
คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin)
สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ
ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสาร
#ต้านอนุมูลอิสระ #ชะลอ การ #เสื่อม สภาพในเซลล์ร่างกาย

#ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์
ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิด
โรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

#การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถ
ต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่า
กลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ #ลดไขมัน และ #คอเลสเทอรอล
จาก

จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับ
ยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก


ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณ
คอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ
หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดยกลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้
ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่า
การกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม
การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่าง
มีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลอง เกิดความเสียหายโดย
ไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโน
ทรานสเฟอเรส อะลานีน ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด
และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ
สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการ
ถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้


เอกสารอ้างอิง:
Nature’s Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. WWW.PUBMED.GOV.
(Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003,
Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany,
Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science,
Chulalongkorn University, Bangkok.

นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550

 

 

 

 

 

 

ประโยชน์อื่นจากมะรุม

 

ขายมันมะรุมติดต่อ086-3265553มะรุม ฯ

ใบมะรุมมีคุณค่าทางอาหารสูง เหมาะสาหรับคนทุกเพศและวัย ในบางประเทศ เช่น เซเนกาลและเฮติ บุคลากรทางการสาธารณสุขจะใช้ผงของใบมะรุมตากแห้งในการรักษาภาวะทุพลภาพในเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตร ใบมะรุมทั้งรูปแบบดิบ ทาให้สุกแล้ว หรือตากแห้ง มีวิตามินและเกลือแร่ปริมาณสูงมาก Fuglie รายงานว่าผงใบแห้งขนาด 8 กรัม เพียงพอสาหรับเด็กอายุ 1-3 ปี เพราะมีโปรตีน (14%) แคลเซียม (40%) เหล็ก (23%) และวิตามินเอ ซึ่งเด็กต้องการในแต่ละวัน และใบขนาด 100 กรัม สามารถให้ปริมาณแคลเซียมถึงหนึ่งในสามที่ผู้หญิงต้องการในแต่วัน และยังให้ธาตุเหล็ก โปรตีน ทองแดง กามะถัน และวิตามินบีด้วย

 

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 มีการศึกษาคุณค่าทางอาหารของมะรุม และรวบรวมคุณค่าทางอาหารเปรียบเทียบระหว่างของผล (ฝัก) ใบสด และใบแห้งของมะรุม ปริมาณ 100 กรัม ไว้ดังนี้

คุณค่าทางอาหาร

และจากการเปรียบเทียบคุณค่าทางอาหารของใบมะรุมกับอาหารชนิดอื่น พบว่าใบมะรุมมีวิตามินเอมากกว่าแครอท มีแคลเซียมมากกว่าน้านม มีธาตุเหล็กมากกว่าผักโขม มีวิตามินซีมากกว่าส้ม และมีโปแตสเซียมมากกว่ากล้วย เป็นต้น

เนื่องจากมะรุมเป็นพืชที่มีธาตุอาหารปริมาณสูงมาก ในบางประเทศมีการส่งเสริมให้นามะรุมมารับประทานเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อป้องกันและรักษาภาวะทุพ-โภชนาการดังนั้นจึงมีการค้นคว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางเพื่อที่จะนาพืชชนิดนี้มาใช้รักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์

คุณค่าทางยาและฤทธิ์ทางชีวภาพของมะรุม

มะรุม มีสารพฤกษเคมีที่หลากหลาย เช่น glucosinolates, isothiocyanates, alkaloids (moringine และ moringinine), flavonoids (kaemferol, rhamnetin, isoquercitrin และ kaempferitrin), -sitosterol ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนมีฤทธิ์ทางชีวภาพ จึงทาให้มะรุมมีฤทธิ์ชีวภาพที่น่าสนใจ เช่น ลดความดัน (antihypertensive) ลดไขมันในเส้นเลือด แก้ปวดเกร็งในช่องท้อง รักษาแผลในทางเดินอาหาร ป้องกันตับ ต้านแบคทีเรียและรา ต้านเนื้องอก ต้านมะเร็ง เป็นต้น

มีรายงานพบว่าสาร Nitrile, mustard oil glycosides และ thiocarbamate glycosides ซึ่งสกัดแยกได้จากใบมะรุม มีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิต ซึ่งสารที่พบในกลุ่มนี้ทั้งหมดเป็นสารในกลุ่ม glycosides ที่ผ่านปฏิกิริยา acetylation และพบปริมาณน้อยในธรรมชาติ แต่มีความสำคัญทางเภสัชวิทยา และเมื่อทาการสกัดใบมะรุมด้วยตัวทาละลาย ethanol และแยกสารสำคัญ จากสารสกัดดังกล่าว พบว่าได้สารบริสุทธิ์ 4 ชนิด ได้แก่ niazinin A, niazinin B, niazimicin และ niazinin A+B ซึ่งทั้งหมดแสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูทดลอง(8) รวมไปถึงมีการศึกษาค้นคว้าฤทธิ์ชีวภาพของสารสกัดใบมะรุม ทั้งนี้มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้มีการผลิตเพื่อเป็นยาสมุนไพร มีรายงานพบว่าใบมะรุม เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่ดี เนื่องจากพบกลุ่มของสารดังกล่าว เช่น vitamin C, α-tocopherol, flavonoids, phenolics, carotenoids ซึ่งชะลอความเสื่อมของเซลล์และป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบ สารกลุ่ม oestrogenics และ β-sitosterol อยู่เป็นปริมาณมาก ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาใบมะรุม และฝักมะรุม เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

แนวทางการพัฒนาสมุนไพรมะรุมเป็นผลิตภัณฑ์

ปัจจุบันมะรุมกาลังได้รับความนิยมอย่างสูงในการนามารับประทานเป็นอาหารต้านโรค หรือเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมีศักยภาพที่จะได้รับการส่งเสริมให้เป็นยาสมุนไพรต่อไป แต่เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดมาตรฐานที่จะใช้ควบคุมหรือตรวจสอบคุณภาพของสมุนไพรดังกล่าว

การนาสมุนไพรมาใช้เป็นยา หรือส่งเสริมเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น สิ่งที่จาเป็นคือต้องแน่ใจว่าเป็นสมุนไพรชนิดนั้นจริง และจาเป็นต้องมีการควบคุมมาตรฐานของสมุนไพรที่นามาปรุงเป็นยาในแต่ละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ายาสมุนไพรที่ได้มีคุณสมบัติหรือฤทธิ์ทางการรักษาตามที่ต้องการเหมือนกันทุกครั้ง มาตรฐานของสมุนไพรบางชนิดกำหนดไว้ใน Thai Herbal Pharmacopoeia นอกจากนี้ยังศึกษาได้จากหลักการทั่วไปในการประกันคุณภาพยาจากสมุนไพร ตามมาตรฐานของประเทศเยอรมัน (German Commission E) รวมถึงแนวทางขององค์การอนามัย

โลก (World Health Organization; WHO) ที่เกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานของสมุนไพร โดยการควบคุมมาตรฐานสมุนไพรส่วนใหญ่จะตรวจสอบเอกลักษณ์ว่าเป็นพืชชนิดนั้นจริงโดยดูจากลักษณะภายนอกและลักษณะเฉพาะของยาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ การตรวจสอบสิ่งปลอมปน การตรวจหาปริมาณสารสำคัญ การหาปริมาณความชื้นและน้าหนักที่หายไปเมื่อทาให้แห้ง การตรวจหาปริมาณเถ้า การหาสารตกค้างที่เป็นยาฆ่าแมลง และการหาสิ่งปนเปื้อนรวมทั้งเชื้อก่อโรค เป็นต้น

ดังนั้นแนวทางการพัฒนาหรือยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรมะรุมจึงจาเป็นต้องจัดทาข้อกำหนดทางเภสัชเวทและมาตรฐานของมะรุมที่ปลูกในประเทศไทย และจาเป็นต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานชนิดของสารสำคัญที่มีฤทธิ์ชีวภาพที่พบในสารสกัดใบมะรุม และปริมาณสารสำคัญดังกล่าวที่พบในธรรมชาติ ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดมาตรฐานวัตถุดิบสมุนไพร

ยกตัวอย่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศอินเดีย ได้มีการกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์อาหารจากใบมะรุม โดยมีการวิเคราะห์คุณภาพสารอาหารในใบมะรุม โดยผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าวในขนาดรับประทานแต่ละครั้งประกอบด้วย β-carotene 3955 μg (equivalent to retinol 665 μg), ascorbic acid 46 mg และ iron 1.6 mg ซึ่งการกำหนดคุณภาพดังกล่าวทาให้ผลิตภัณฑ์อาหารจากใบมะรุมมีมูลค่าสูงขึ้นในแง่ของการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

ดังนั้นข้อมูลทางด้านเภสัชเวทของสมุนไพรและการจัดทามาตรฐานสมุนไพรมะรุมถือเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์มะรุมที่สนใจรับประทานได้ หรือเพื่อให้ผู้ผลิตใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการผลิตสมุนไพรมะรุมที่มีคุณภาพต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้สมุนไพรไทยมีมาตรฐานและศักยภาพในการแข่งขันกับสมุนไพรต่างประเทศ

คุณค่าทางอาหาร ผล (ฝัก) ใบสด ใบแห้ง
ความชื้น (%) 86.9 75 7.5
พลังงาน (calories) 26 92.0 205.0
โปรตีน (กรัม) 2.5 6.7 27.1
ไขมัน (กรัม) 0.1 1.7 2.3
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 3.7 13.4 38.2
เส้นใย (กรัม) 4.8 0.9 19.2
เกลือแร่ (กรัม) 2.0 2.3 -
แคลเซียม (มิลลิกรัม) 30.0 440.0 2003.0
แมกนีเซียม (มิลลิกรัม) 24.0 24.0 368.0
ฟอสฟอรัส (มิลลิกรัม) 110.0 70.0 204.0
โปแตสเซียม (มิลลิกรัม) 259.0 259.0 1324.0
ทองแดง (มิลลิกรัม) 3.1 1.1 0.6
เหล็ก (มิลลิกรัม) 5.3 0.7 28.2
กรดออกซาลิก (มิลลิกรัม) 10.0 101.0 0.0
กามะถัน (มิลลิกรัม) 137 137 870

 

คุณค่าทางอาหาร ผล (ฝัก) ใบสด ใบแห้ง
ปริมาณวิตามิน (Vitamin contents)
วิตามินเอ-เบต้าแคโรทีน (มิลลิกรัม) 0.1 6.8 16.3
วิตามินบี-โคลีน (มิลลิกรัม) 423.0 423.0 -
วิตามินบี1 (มิลลิกรัม) 0.05 0.21 2.6
วิตามินบี2 (มิลลิกรัม) 0.07 0.05 20.5
วิตามินบี3 (มิลลิกรัม) 0.2 0.8 8.2
วิตามินซี (มิลลิกรัม) 120 220.0 17.3
วิตามินอี (มิลลิกรัม) - - 113.0
ปริมาณกรดอะมิโน (Amino acid contents)
อาร์จินีน (มิลลิกรัม) 360 406.6 1325
ฮีสติดีน (มิลลิกรัม) 110 149.8 613
ไลซีน (มิลลิกรัม) 150 342.4 1325
ทริปโตแฟน (มิลลิกรัม) 80 107 425
ฟีนิลอลานีน (มิลลิกรัม) 430 310.3 1388
เมทไธโอนีน (มิลลิกรัม) 140 117.7 350
ธรีโอนีน (มิลลิกรัม) 390 117.7 1188
ลิวซีน (มิลลิกรัม) 650 492.2 1950
ไอโซลิวซีน (มิลลิกรัม) 440 299.6 825
วาลีน (มิลลิกรัม) 540 374.5 1063

เอกสารอ้างอิง

1. Mughul MH, Ali G, Srivastava PS, Iqbal M. 1999. Improvement of drumstick (Moringa pterygosperma Gaertn.) – a unique source of food and medicine through tissue culture. Hamdard Med 42: 37-42.

2. Siddhuraju P, Becker K. 2003. Antioxidant properties of various solvent extracts of total phenolic constituents from three different agro-climatic origins of drumstick tree (Moringa oleifera Lam.). J Agric Food Chem 15: 2144-2155.

3. Estrella MCP, Mantaring JBV, David GZ. 2000. A double blind, randomized controlled trial on the use of malunggay (Moringa oleifera) for augmentation of the volume of breastmilk among non-nursing mothers of preterm infants. Philipp J Pediatr 49: 3-6.

4. Singh KK, Kumar K. Ethnotherapeutics of some medicinal plants used as antipyretic agent among the tribals on India. J Econ Taxon Bot 23: 135-141.

5. Fuglie LJ. 2005. The Moringa Tree: a local solution to malnutrition? Church World Service in Senegal.

6. http://www.dolcas-biotech.com/pdf/Moringa.pdf access on 24 April 2009

7. Fahey JW. 2005. Moringa oleifera: A Review of the Medical Evidence for Its Nutritional, Therapeutic, and Prophylactic Properties. Part 1. Tree for Life Journal 1: 5-19.

8. Jansakul C., Wun-Noi A., Croft K. and Byrne L. 1997. Pharmacological studies of thiocarbamate glycosides isolated from Moringa oleifera. J. Sci. Soc. Thailand 23: 335-346.

9. Makkar HPS. and Becker K. 1996. Nutritional value and antinutritional components of whole and ethanol extracted Moringa oleifera leaves. Anim Feed Sci Technol 63: 211-228.

10. Nambiar VS. and Parnami S. 2008. Standardization and Organoleptic Evaluation of Drumstick (Moringa oleifera) Leaves Incorporated into Traditional Indian Recipes. Trees for Life Journal 3: 1-7.

 

https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5/307834602748538?hc_location=timeline

guest

Post : 2015-01-17 23:06:12.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประกาศขายสินค้าฟรี (ผ่านช่องคอมเมนท์ได้) ซื้อขายเบ็ดเตล็ดได้ทุกอย่าง

ข้อเสนอแนะ

ในการเชิญชวน

 

 

 

 

 

การพูดเชิญชวน


การพูดเชิญชวนเป็นการพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขอความร่วมมือ ผู้พดจึงต้องรู้จักพูดให้เหมาะกับบุคคลและสถานการณ์ เลือกใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยาท่าทางที่เหมาะสม และน่าสนใจจะทำให้การพูดเชิญชวนประสบผลสำเร็จตามต้องการ

หลักการพูดเชิญชวน มีดังนี้
๑.เลือกใช้ถ้อยคำสำนวนเหมาะสมกับเหตุการณ์
๒.ใช้เหตุผลประกอบการพูดเชิญชวน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
๓.พูดเสนอแนะข้อควรและไม่ควร โดยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังพิจารณาด้วยตนเอง
๔.ใช้ภาษาที่ให้ความรู้สึกในเชิงขอความร่วมมือ ไม่ควรใช้ภาษาที่ทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นการบังคับ
๕.พูดยกย่องให้เกียรติผู้ฟังหรือผู้อ่าน


ตัวอย่าง

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า ไข่เป็นยอดของอาหาร เพราะมีคุณค่าทั้งการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต สุขภาพแข็งแรง สมองแจ่มใส นอกจากนั้นแพทย์ยังพบคุณประโยชน์ของไข่ไก่อีกว่ามีสารที่ช่วยบำรุงประสาท ป้องกันโรคความจำเสื่อมและไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจอีกด้วย
น่าเสียดายที่เด็กไทยรับประทานไข่ไก่กันน้อย เพราะไม่เห็นคุณค่าเท่าที่ควร ความจริงไข่ไก่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่น ๆ คนทุกฐานะสามารถซื้อมาทำอาหารรับประทานได้ ที่ประเทศญี่ปุ่นน้นสนับสนุนให้เยาวชนของเขารับประทานไข่ไก่เฉลี่ยแล้วคนละ ๑ ฟองต่อหนึ่งวัน เราจะเห็นได้ว่าประชากรของเขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าในอดีตที่ผ่านมา สมัยก่อนพอพูดถึงคนญี่ปุ่นเราจะนึกถึงคนเตี้ย ๆ ตัวเล็ก ๆ แต่ในปัจจุบันนี้หนุ่มสาวญี่ปุ่นรูปร่างสูง สมส่วน สุขภาพแข็งแรง เฉลียวฉลาด ทั้งนี้เพราะเขาพัฒนาเรื่องอาหาร โดยเลือกแต่อาหารทีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็มีไข่ไก่รวมอยู่ด้วย
ถ้าเด็กและเยาวชนของไทยหันมาบริโภคไข่ไก่ให้มากขึ้น เราจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น รูปร่างสมส่วนสวยงามและห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติด้วย
ว่าแต่ว่าวันนี้คุณรับประทานไข่ไก่บ้างหรือยัง

 

 

ขอเชื้อเชิญประกาศฟรี

ซื้อขายสินค้าตามอัธยาศัย

 

 

 

 

guest

Post : 2015-01-17 14:45:48.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สารอาหารสำคัญในข้าวกล้องฯ

ข้าวไรซ์เบอรี่ riceberry ดียังไง

ครั้งแรกที่ได้ยินว่า ข้าวไรซ์เบอรี่ riceberry แว็บนึงที่นึกภาพคือ ต้องมีสีม่วง ๆ แน่เลย และแล้วก็ไม่ผิดอย่างที่คิด เพราะข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีสีม่วงเข้มจริง ๆ ด้วย แต่พอได้ยินว่า เป็นพันธุ์ข้าวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เอ่… เป็นไงหว่า

Cute Sheep Emoticon 003

ก็ไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมให้หายสงสัย จนกระทั่งมาพบข้อมูลที่เผยแพร่กันทั่วไปว่าคุณสมบัติทางโภชนาการในข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ Riceberry ประกอบด้วย

โพลีฟีนอล 113.5 mg/100g

แทนนิน 89.33 mg/100g

โอเมกา-3 25.51 mg/100g

วิตามิน อี 678 ug /100g

เบต้าแคโรทีน 63 ug/100g

โฟเลต 48.1 ug/100g

ธาตุสังกะสี 31.9 mg/kg

ธาตุเหล็ก 13-18 mg/kg

สารต้านอนุมูลอิสระ

ชนิดละลายในน้ำ 47.5mg ascorbic acid quivalent/100g

ชนิดละลายในน้ำมัน 33.4 mg trolox equivalent/100 g

ที่มา: ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว

 

แหม….อย่าว่า ยังงั้น ยังงี้เลยนะ ดูแล้วก็ได้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าต้องไปหาข้อมูลที่เราเข้าใจกันง่าย ๆ หน่อย เอามาเสริมและขยายความอีกนิด ซึ่งกล่าวโดยรวมว่า ในข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ ( brown riceberry ) นั้นมีปริมาณอะไมโลส ( amylose ) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรทชนิดหนึ่ง พูดง่าย ๆ แบบบ้าน ๆ ก็คือ แป้ง ซึ่งอะไมโลส จะเป็นความเหนียวนุ่มของข้าวเจ้า ยิ่งเมล็ดข้าวเจ้่ายาว ก็่ยิ่งมีความเหนียวนุ่มมากขึ้น เมื่อนำข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่มาหุงที่อุณหภูมิแป้งสุกที่น้อยกว่า 70 องศาเซลเซียส จะมี โพลีฟีนอล แทนนิน โอเมกา-3 วิตามิน อี เบต้าแคโรทีน โฟเลต แกมมา-โอไรซานอล ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก แล้วแต่ละธาตุในข้าวไรซ์แบอร์รี่นั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง งั้นเราลองมาดูกัน

โพลีฟีนอล

เป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ลดระดับของคลอเรสเตอรอล และไตรกรีเซอไรด์ ( ไขมันไม่ดี ) ในเลือด ต้านโรคเบาหวาน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต้านแบคทีเรีย ไวรัส ป้องกันฟันผุ ต้านโรคอ้วน กระตุ้นการสร้างความร้อนของร่างกาย ซึ่งช่วยเผาผลาญพลังงานและช่วยการจัดการกับโรคอ้วนได้อีกด้วย

แทนนิน

แทนนินมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย และเชื้อราได้ ใช้เป็นยา แก้ท้องร่วง แก้บิด สมานแผล แผลเปื่อย

โอเมกา-3

กรดไขมันโอเมกา-3 เป็นกรดไขมันที่สำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมทั้งเกี่ยวกับเรตินาในการมองเห็น อีกทั้งยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล และไตรเอธิลกลีเซอรอล (triethylglycerol) ในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน (lipoprotien) และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและหน้าที่ของเกล็ดเลือด ทำให้ช่วยลดอันตรายของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด โรคหัวใจและโรคซึมเศร้า

วิตามิน อี

วิตามินอีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งเซลมะเร็ง ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลดความเสี่ยวของการเป็นโรคเบาหวาน ลดระดับคลอเรสเตอรอในเลือด และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ชะลอความเสื่อมถอยของเซลสมองและหัวใจ ชะลอความแก่ ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส นอกจากนั้นวิตามินอี ยังมีส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกัน การซ่อมDNA

เบต้าแคโรทีน

เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของการเป็นต้อกระจก นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย

โฟเลต

อยู่ในกลุ่มของวิตะมินบีช่่วยเสริมสร้างเซลใหม่ ๆ และเนื้อเยื่อให้กับร่างกายโดยเฉพาะไขกระดูก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

แกมมา-โอไรซานอล

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ลดความเสื่อมสภาพของเซลผิวทำให้่ช่วยชะลอความแก่ก่อนวัย ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม อีกทั้งยังช่วย ป้องกันโรคกระดูกพรุน

ธาตุสังกะสี

เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคอยช่วยซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่างๆ ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น ป้องกันผมร่วง นอกจากนั้นยังสามารถใช้รักษาสิวได้อีกด้วย

ธาตุเหล็ก

มีประโยชน์โดยตรงต่อระบบเลือด ช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกาย โดยช่วยเสริมสร้างเอ็นไซม์หลายชนิดให้สามาระถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ผิวพรรณสดใส

นอกจากนั้น ข้าวกล้องย่อมมีเส้นใยที่ช่วยในการดูดซับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดระดับไขมันและโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยระบบขับถ่าย อีกด้วย

เมื่อรู้ข้อมูลประมาณนี้แล้ว ยิ่งทำให้มั่นว่าข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่นี้ดีจริง ๆ มีสารต้านอนุมูํลอิสระสูง เพราะสารอาหารต่าง ๆ ข้างต้นและจะช่วยให้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม เป็นต้น ซึ่งการได้รับประทานข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ในปริมาณที่เพียงพออย่างสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่เอนกอนันต์ของไรซ์เบอร์รี่นี่เอง
Cute Sheep Emoticon 004

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Riceฯ
ข้าวไรซ์เบอรี่ ฯ
ข้าวฮาง(ข้าวนิล) ฯ
ข้าวกล้องฯ
ทั้งส่งทั้งปลีก
ส่งฟรีทั่วไทย
ส่งตรงจากชาวนา
ติดต่อ
Tel:090-9610626,089-9096579,086-3265553

 

guest
เยี่ยม
- Guest -
guest
สุขภาพมาก่อน
- Guest -

Post : 2015-01-15 16:39:51.0     Forum: สอบถาม  >  http://plakard.com/id-50d01f3ae216a7732d000000.html

ถั่วครบ5สีงอก(มีสารกาบา)นวัตกรรมสุขภาพ..ยกนิ้วให้

guest
รักษ์สุขภาพ
- Guest -
guest

Post : 2015-01-14 23:40:40.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ความแตกต่างของข้าวกล้องและข้าวอื่นๆ

 

ข้าวกล้อง

 

 

คือข้าวที่เริ่มจากชาวนาเก็บเกี่ยว เรียกข้าวเปลือก

เมื่อนำไปสีข้าว สีครั้งแรกก็จะได้ข้าวกล้องหรือเรียกอีกอย่างคือข้าวซ้อมมือ

ข้าวขาวที่พวกเรากินกันก่อนสิเป็นสีน้ำตาล

ไม่ว่าจะเป็นข้าวประเภทไหน เม็ดยาวเม็ดสั้นสีแดงสีน้ำตาล ถ้าผ่านการสีครั้งเดียวคือข้าวกล้องเหมือนกัน เช่น ข้าวหอมมะลิถ้าสีครั้งเดียวก็จะเรียกว่า ข้าวกล้อง ไร้สาร ข้าวกล้องฯ ข้าวกล้องหอมมะลิ เพราะยังมีรำข้าวเหลืออยู่บนเม็ด...

จะยังคงประโยชน์เพราะสารอาหาร วิตามินและไฟเบอร์ทั้งหลายอยู่บนรำข้าวทั้งนั้น

สังเกตคือปลายข้าวยังเต็มเม็ดไม่มีรอยบุ๋ม

ข้าวสาร

คือข้าวกล้องเมื่อนำมาสีอีกครั้งก็จะเหลือเป็นข้าวสาร ขั้นนี้แล้วจมูกข้าวจะหลุดเห็นเป็นหลุมตรงปลายเม็ด สารอาหารหลายๆอย่างได้หลุดออกไปกับรำข้าวหมดแล้วเหลือแต่แป้งเท่านั้น

ข้าวแดง

เป็นพันธุ์ข้าวพิเศษชนิดนึงที่มีเปลือกและตัวเม็เป็นสีแดงเนื่องจากมีสารที่เรียกว่า anthocyanin มีพันธุ์ทั้งของไทยเช่น red cargo rice, red coral jasmine rice หรือของชาติอื่นเช่นภูฏาน,ฝรั่งเศส ข้าวแดงนี้ถ้านำมาสีครั้งหนึ่งก็จะเรียกว่า ข้าวกล้องแดง ข้าวแดงส่วนมากที่ขายน่าจะเป็นข้าวกล้องแดงเพราะยังมีจมูกข้าวอยู่จึงยังมีสารอาหารอยูมาก ไม่หายไปกับรำข้าวหมด แต่หากเป็นข้าวแดงที่มีรอยบุ๋มตรปลายเม็ดเม็ดก็แปลว่าข้าวถูกสีไปแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง สารอาหารหลายอย่างก็ออกไปกับรำข้าวหมดแล้วคุณค่าไม่น่าจะต่างกับข้าวสารสีขาวทั่วไปเท่าไหร่

ข้าวสีนิล

คือ black rice or purple rice เป็นข้าวพันธุ์พิเศษเช่นเดียวกับข้าวแดง มีทั้งแบบเป็นข้าวเหนียวและไม่เหนียว มีทั้งของไทย อินโดและจีน มีสารanthocyanin ยิ่งมาก สีจึงเข้ม กว่าข้าวแดง ใช้หลักการเดียวกันคือถ้าสีครั้งนึงคือกลายเป็นข้าวกล้อง สีอีกครั้งถึงแม้สีนิลยังอยู่ถ้าแต่มีรอยบุ๋มตรงปลายก็แปลว่าสารอาหารหายไปมากแล้ว

 

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Rice
ข้าวฮาง(ข้าวนิล)ไรท์เบอรี่
ข้าวกล้องฯ ทั้งส่งทั้งปลีก ทั่วไทย
ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย
Tel:090-9610626,089-9096579,086-3265553

 

guest

Post : 2015-01-14 23:33:01.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้าวกล้องแตกต่างอย่างไร

 

ข้าวกล้องกับข้าวซ้อมมือต่างกันอย่างไร

หากพูดถึง ข้าวกล้อง และ ข้าวซ้อมมือ บางคนอาจทำคิ้วผูกโบว์และเกิดคำถามขึ้นในใจว่า แล้วมันต่างอย่างไรล่ะ / ไม่ใช่อย่างเดียวกันหรือ /

ข้าวกล้อง คือ ผลผลิตที่ได้จากการสีข้าวเพียงครั้งเดียว เพียงแค่ให้เปลือกที่หุ้มเมล็ดข้าวอยู่นั้นหลุดออกไป ที่เหลือเป็นเนื้อหรือเมล็ดข้าว และทั้งหมดคือข้าวกล้อง ซึ่งประกอบไปด้วยเยื่อหุ้มเมล็ด จมูกข้าว และเนื้อข้าว...

เยื่อหุ้มเมล็ด จะมีเส้นใยอาหารสูง และมีเกลือแร่อยู่บ้าง
จมูกข้าว เป็นส่วนที่มีชีวิต อุดมไปด้วยวิตามิน ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ต่าง ๆ และเป็นส่วนของข้าวที่จะเจริญเป็นต้นข้าวต่อไป
เนื้อข้าว ถ้านำเมล็ดข้าวไปทำการขัดสีต่อส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะหลุดออก จนเหลือแต่ส่วนเนื้อข้าวสีขาว ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นแป้งที่ให้แต่พลังงานเท่านั้น หาคุณค่าและประโยชน์อื่นใดไม่ได้เลย
ข้าวซ้อมมือ ก็คือ ข้าวกล้องที่ผ่านการขัดสีเพิ่มขึ้น เพื่อขัดเอาเยื่อหุ้มเมล็ดออกไปบางส่วน (30%) เพื่อจุดประสงค์ให้เวลาหุงแล้วจะได้ข้าวที่นุ่มขึ้น รับประทานง่ายขึ้น แต่จะยังคงมีจมูกข้าวเหลืออยู่ คุณค่าต่างๆ จึงยังอยู่ครบ เว้นก็แต่เพียงเส้นใยอาหารและเกลือแร่บางส่วนที่สูญเสียไปพร้อมกับเยื่อหุ้มเมล็ดที่ถูกขัดออกไปเท่านั้น

ดังนั้นการบริโภคข้าวกล้องจึงเป็นวิถีทางหนึ่งของการบริโภคเพื่อสุขภาพ เนื่องจากข้าวกล้องมีคุณสมบัติทางอาหารของข้าวอย่างครบสมบูรณ์ เพราะข้าวกล้อง 100 กรัม มีเส้นใยมากถึง 2.1 กรัม ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายเราต้องการเส้นใยอย่างน้อยวันละ 20 กรัม ข้าวกล้องมีเส้นใยที่เป็นประโยชน์ ซึ่งวงการแพทย์รายงานว่าเส้นใยเหล่านี้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะอาหาร ทั้งยังเป็นส่วนช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดอิ่มตัวเข้าสู่กระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยวิตามินบีอีกหลายตัวที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทำให้ความจำดี อารมณ์ดี ไม่เครียดง่าย ช่วยในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยรักษาโรคเหน็บชา วิตามินอีในจมูกข้าวยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เป็นรอยตีนกา ฝ้า กระ ข้ออักเสบ ต้อกระจก หลอดเลือดอุดตัน สาเหตุของโรคหัวใจ อัมพาต โรคมะเร็ง และธาตุเหล็กที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

ปัญหาของการบริโภคข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือคือ สุกยากและข้าวแข็งกว่าข้าวขัดขาว เนื่องจากการดูดซึมน้ำเข้าสู่เมล็ดเกิดได้ยากลำบาก และผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงคุ้นชินกับการบริโภคข้าวขาว แต่เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยง่าย เพียงแค่เพิ่มอัตราส่วนของปริมาณข้าวและน้ำในการหุงอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือ

ข้าวกล้อง ใช้อัตราส่วน ข้่าว 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน

ข้าวซ้อมมือ ใช้อัตราส่วน ข้่าว 1 ส่วนต่อน้ำ 1.5 ส่วน

เพียงเท่านี้คุณก็สามารถอร่อยแบบได้คุณค่าเต็มๆ คำ อย่างง่ายดาย

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Riceฯ
ข้าวฮาง(ข้าวนิล)ไรท์เบอรี่
ข้าวกล้องฯ ทั้งส่งทั้งปลีก ทั่วไทย
ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย
Tel:090-9610626,089-9096579,086-3265553

guest

Post : 2015-01-14 23:20:17.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้าวอินทรีย์

 

ข้าวอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์ ( Organic agriculture)
หมายถึง ระบบการจัดการผลิตด้านการเกษตรแบบองค์รวม ที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ วงจร
ชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ และไม่ใช้พืช สัตว์หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม (Genetic modification) หรือพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มีการจัดการกับผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการแปรรูปด้วยความร...ะมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอน
ทำไมต้องทำอินทรีย์
การใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุ และกายภาพของดินทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ในดินนั้นสูญหายและไร้สมรรถภาพความไม่สมดุลนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ผืนดินที่ถูกผลาญไปนั้นได้สูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุ ทำให้ผลิตผลมี แร่ธาตุ วิตามิน และพลังชีวิตต่ำ เป็นผลทำให้เกิดการขาดแคลนธาตุอาหารรองของพืช พืชจะอ่อนแอขาดภูมิต้านทานโรค และทำให้การคุกคามของแมลงเชื้อโรคเกิดขึ้นได้ง่าย จึงจะนำไปสู่ใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดวัชพืช ข้อบกพร่องเช่นนี้ก่อให้เกิดวิกฤติในห่วงโซอาหารและระบบการเกษตรของเรา ซึงก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน
การผลิตข้าวอินทรีย์ ( Organic rice production)
หมายถึง ระบบการจัดการผลิตข้าวแบบเกษตรอินทรีย์
หลักการผลิตข้าวอินทรีย์
การผลิตข้าวอินทรีย์มีหลักการว่า จะต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีและสารที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีทุกชนิดในทุกขั้นตอนการผลิตและเก็บรักษาผลผลิต แต่ให้ใช้ความอุดมสมบูรณ์ของดินจากอินทรียวัตถุ (Organic matter) ในสภาพธรรมชาติ และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยวัสดุอินทรีย์ ในส่วนการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชใช้แมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมการระบาด ใช้ข้าวพันธุ์ต้านทาน วิธีการปลูกและการจัดการพืชที่เหมาะสมเพื่อสร้างสมดุลธาตุอาหารในต้นข้าวทำให้ต้นข้าวมีความแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี และอาจใช้สารสกัดจากพืชในกรณีที่มีการระบาดรุนแรง ในด้านสัตว์ศัตรูข้าวให้ใช้วิธีกลและศัตรูธรรมชาติ ทั้งนี้ต้องเลือกพื้นที่ให้มีความเหมาะสมตามเงื่อนไขดังกล่าวในเบื้องต้น
การผลิตข้าวอินทรีย์
1. พื้นที่ปลูก
- ห่างไกลจากพื้นที่ที่ใช้สารเคมี
2. พันธุ์ข้าว
- ใช้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพเมล็ดดี ต้านทานต่อโรคและแมลง
3. เมล็ดพันธุ์ข้าว
- ควรใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตโดยวิธีเกษตรอินทรีย์ เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ปราศจากโรคและเมล็ดวัชพืช
4. การเตรียมดิน
- ไม่เผาฝาง
- ควรเตรียมดินอย่างดี เพื่อให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นข้าว ลดปัญหาวัชพืช
5.วิธีการปลูก
- ปักดำ โยนกล้า หว่าน ควรปลูกโดยวิธีปักดำเพื่อลดปัญหาวัชพืช
- ไม่ปลูกข้าวแน่นจนเกินไป เพื่อลดปัญหาโรคและแมลง
6. ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
- ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยพืชสด
7. ใช้อินทรียวัตถุทดแทนปุ๋ยเคมี
- ปุ๋ยไนโตรเจน (N) : แหนแดง สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ทดแทน
- ปุ๋ยฟอสฟอรัส (P) : หินฟอสเฟต กระดูกป่น มูลไก่ มูลค้างคาว
- ปุ๋ยแคลเซียม (Ca) : ขี้เถ้า ปูนขาว โดโลไมท์ เปลือกหอยป่น กระดูกป่น
8. การจัดการน้ำ
- รักษาระดับน้ำให้เหมาะสมกับระยะการเจริญเติบโตของต้นข้าว
9. การจัดการความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- ปลูกข้าวปีละครั้ง หรือไม่เกิน 2 ครั้ง/ปี
- ปลูกพืชหมุนเวียนโดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ก่อนและหลังปลูกข้าว หรือลูกข้าวอินทรีย์ร่วมกับพืชตระกูลถั่ว
10. การควบคุมวัชพืช
- ไม่ใช้สารเคมี
- ถอนด้วยมือ หรือใช้เครื่องมือทางการเกษตร ปลูกพืชคลุมดิน
11. การป้องกันกำจัดโรคและแมลง
- ไม่ใช้สารเคมี ใช้กับดักหรือแสงไฟล่อ
- เน้นความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์แมลงศัตรูธรรมชาติเพื่อควบคุมแมลงศัตรูข้าว
12. การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
- เก็บเกี่ยวระยะพลับพลึง (27-30 วันหลังออกดอก)
- ลดความชื้นให้ต่ำกว่า 14% เก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- แปรสภาพเป็นข้าวสารเท่าที่ต้องการในแต่ละครั้ง แยกข้าวอินทรีย์ออกจากข้าวปกติอย่างชัดเจน

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Riceฯ
ข้าวนิล ไรท์เบอรี่ ฯ
ข้าวกล้องฯ ทั้งส่งทั้งปลีก ทั่วไทย
ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายTel:086-3265553

guest

Post : 2015-01-13 21:59:53.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้าวกล้อง นานาชนิด

 

ข้าวกล้องกับสุขภาพ

“ข้าวกล้อง” คือ ข้าวสีน้ำตาลขุ่นที่ได้จากการสีข้าวเพียงครั้งเดียว เพียงแค่ให้เปลือก (แกลบ) หลุดออก ส่วนที่เหลือเป็นเนื้อหรือเมล็ดข้าวสาร ที่ยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว(รำ) ข้าวขาวที่เรากินกันอยู่เป็นข้าวที่ได้จากการสีหลายๆ ครั้ง ถึง 7 ครั้ง จนจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวหลุดออกไปด้วย จึงเหลือแต่เมล็ดข้าวสีขาวสวย ซึ่งเป็นเพียงแป้งที่ให้แต่พลังงานเท่านั้น ปราศจากคุณค่าทาง...อาหารอื่นๆ

ข้าวกล้องมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ยิ่ง เพราะครบถ้วนด้วยส่วนประกอบของจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ด อันเป็นส่วนที่จะเจริญเติบโตเป็นต้น ข้าว อุดมด้วยวิตามินบี วิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ เยื่อหุ้มเมล็ดจะมีเส้นใยอาหารที่ดีสูง ทางวงการแพทย์พบว่าเส้นใยเหล่านี้ มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร ยังมีส่วนช่วยป้องกันไขมันชนิดอิ่มตัวถูกดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหารอีกด้วย

บางคนเรียกข้าวกล้องว่า “ข้าวซ้อมมือ” ด้วยชาวบ้านในสมัยก่อนใช้มือตำให้เปลือกข้าวหลุดออก เพื่อใช้กินกันเองในครัวเรือน เยื่อหุ้มเมล็ด(รำ) และจมูกข้าวจะหลุดออกไปบางส่วน แต่ในสมัยปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน และเรียกผลผลิตที่ได้จากการสีข้าวเพียงครั้งเดียวนี้ว่า “ข้าวกล้อง” สำหรับ “ข้าวแดง” เป็นพันธุ์ข้าวกล้องชนิดหนึ่งที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงผ่านการสีเพียงครั้งเดียวเช่นกัน ได้แก่ ข้าวแดงมันปู ข้าวสังข์หยด

คนไทยกินข้าวกล้องมาหลายพันปี เพิ่งหันมากินข้าวขาวเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง การที่บรรพบุรุษของเรารู้จักกินธัญพืชที่มีประโยชน์มหาศาลเป็นอาหารหลักเช่นนี้ ทำให้คนไทยมีสุขภาพดี และสามารถสืบทอดลูกหลานมาจนถึงปัจจุบัน

พวกเราหลงผิดคิดว่าข้าวขาวดีกว่าข้าวกล้องเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญขึ้น มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นว่า ข้าวกล้องเป็นอาหารที่ดีที่สุด คนทั่วโลกจึงหันมาสนใจข้าวกล้อง รวมทั้งคนไทยผู้รักสุขภาพด้วย

เมื่อคิดจะชักชวนคนไทยให้หันมากินข้าวกล้องให้มากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงประโยชน์ของข้าวกล้องว่า ดีอย่างไรต่อสุขภาพ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณาเปลี่ยนมากินข้าวกล้องแทนข้าวขาวต่อไป

ข้าวกล้องเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

อาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เป็นอาหารที่เรารู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า คาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารกลุ่มสำคัญ 1 ใน 5 หมู่ ซึ่งร่างกายต้องการมากกว่าอาหารหมู่อื่น เพราะเป็นกลุ่มที่ให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple carbohydrate) และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex carbohydrate)

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว คือ เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ 2 โมเลกุล ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้แทบจะทันทีที่ตกถึงท้องโดยไม่ต้องเสียเวลาย่อย เช่น น้ำตาลกลูโคลิน น้ำอัดลม น้ำตาลทราย น้ำหวาน เป็นต้น สำหรับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะมีความสลับซับซ้อนมากกว่า เป็นอาหารหยาบ โมเลกุลใหญ่ จึงต้องใช้เวลาในการย่อยนานกว่าจะได้เป็นน้ำตาลเดี่ยวซึ่งถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวสาลีโฮลวีต ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เผือก มัน เป็นต้น

จะพบได้ว่า เมื่อรู้สึกโหยเรากินคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ดื่มน้ำอัดลม ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นมาทันที นั่นหมายถึง ในขณะที่น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เรารู้สึกเพลีย อ่อนระโหยโรยแรง หากดื่มน้ำอัดลมเข้าไปจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที อาการเพลียๆ คล้ายกับหายเป็นปลิดทิ้ง

ตรงกันข้าม เมื่อรู้สึกโหยแล้วกินข้าวกล้องซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะต้องนอนรอราวครึ่งชั่วโมง รอให้ร่างกายค่อยๆ ย่อย ซึ่งกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นสูง ต้องการเวลาที่นานกว่ามากนัก จึงเป็นเหตุให้พวกเราเข้าใจผิดมานานว่า อาหารที่ไม่ต้องย่อย เช่น น้ำตาลน่าจะดีกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง

การใช้น้ำตาล ร่างกายต้องพึ่งอินซูลิน

การที่น้ำตาลจะเข้าไปในเซลล์ของคนเราจำเป็นต้องพึ่งอินซูลินซึ่งผลิตจากตับอ่อน ถ้าอินซูลินไม่พอ ร่างกายก็จะใช้น้ำตาลไม่ได้ น้ำตาลจะเหลือและลอยอยู่ในกระแสเลือด ทำให้เป็นโรคเบาหวาน

มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้ทราบกันในเรื่องอินซูลิน ก็คือ ร่างกายไม่เคยผลิตอินซูลินขึ้นเพื่อมาเก็บไว้ใช้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรากินแป้ง ระบบย่อยจะเปลี่ยนแป้งโมเลกุลใหญ่ให้เป็นน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด แล้วน้ำตาลโมเลกุลนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์ในตับอ่อนทำหน้าที่เริ่มผลิตอินซูลิน ต่อมาระดับของอินซูลินจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

ดังนั้นเมื่อเรากินคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น น้ำอัดลม น้ำตาลในเลือดก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อินซูลินซึ่งย่อมมีน้อยกว่าในภาวะเช่นนั้นดังที่ได้กล่าวมา ปริมาณน้ำตาลและปริมาณอินซูลินจึงเกิดความไม่สมดุล น้ำตาลที่เหลือมากในกระแสเลือดจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมัน และทำให้อ้วนในที่สุด

แต่ถ้าเรากินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ระบบย่อยจะต้องใช้เวลานานในการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ดังนั้น น้ำตาลที่จะเข้าไปในร่างกายจึงค่อยๆ ทยอยไปกันอย่างช้าๆ อันเป็นอัตราที่เร็วพอดีกับการผลิตอินซูลินของร่างกายนั่นเอง

กินข้าวกล้องป้องกันเบาหวาน

เห็นได้ชัดว่าการกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเหมาะสมกับธรรมชาติของร่างกายคนเรามากกว่า เพราะกลูโคสจะใช้เวลาค่อยๆ เข้าสู่ร่างกาย พอๆ กับที่ตับอ่อนค่อยๆ ผลิตอินซูลินออกมา ไม่ทรมานตับอ่อนของเรามากเกินไป

การดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือของหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นไปเร่งให้ตับอ่อนเร่งสร้างอินซูลินออกมาให้ทันใช้ เมื่อตับอ่อนถูกบีบคั้นอยู่เป็นประจำเช่นนั้น ต่อมาร่างกายจะทนไม่ได้ และไม่ยอมสร้างอินซูลินออกมา ผลก็คือปัญหาอินซูลินไม่พอใช้ในร่างกาย ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงทำให้เป็นโรคเบาหวานทุติยภูมิ ซึ่งเป็นเบาหวานชนิดที่เกิดกับคนมีอายุในที่สุด

จากการศึกษาในชนเผ่าอินเดียนแดงก่อนปี ค.ศ.1940 เทียบกับอินเดียนแดงปัจจุบัน พบว่า แต่ก่อนอินเดียนแดงกินข้าวโพด ข้าวฟ่าง เมล็ดพืช ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นอาหารหลัก พบว่า ไม่มีอินเดียนแดงเป็นเบาหวานเลย แต่เมื่ออินเดียนแดงหันมากินอาหารแบบคนอเมริกันได้แก่แป้งขัดขาว น้ำอัดลม ก็พบว่าอัตราการเกิดโรคเบาหวานในอินเดียนแดงเพิ่มสูงขึ้นเทียบเท่ากับในคนอเมริกัน

ยังมีการศึกษาในชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในอิสราเอลที่กินแต่ธัญพืชเป็นอาหารหลัก ก็ไม่พบว่ามีคนเป็นเบาหวาน แต่เมื่ออาหารการกินเปลี่ยนไปเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวมากขึ้น ปรากฎว่าเกิดเบาหวานในชั่วอายุคนแรก อีกทั้งคนรุ่นลูกก็ได้โรคเบาหวานสืบทอดเป็นกรรมพันธุ์ด้วย

แสดงว่าการกินอาหารนั้นมีส่วนอย่างยิ่งต่อการก่อเกิดโรคเบาหวาน การกินคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว กินน้ำตาล ของหวาน น้ำอัดลม มากเกินไป ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่ทัน และเกิดโรคเบาหวานในที่สุด

การกินข้าวกล้องซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ต้องอาศัยเวลาในการย่อย อัตราความเร็วในการย่อยข้าวกล้องจะพอดีกับอัตราความเร็วในการผลิตอินซูลิน จึงเกิดความสมดุลระหว่างการกินกับการใช้น้ำตาลของร่างกาย ตับอ่อนทำงานไม่หนักเกินไป จึงป้องกันการเกิดโรคเบาหวานทุติยภูมิได้

ข้าวกล้องป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลไม่พอใช้ เปรียบเสมือนรถยนต์ที่มีน้ำมันไม่พอใช้ ร่างกายก็จะมีพลังงานใช้ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่มีแรง อ่อนเพลีย เวียนศรีษะ ไม่กระปรี้กระเปร่า เฉื่อยเนือย

โดยปกติระดับน้ำตาลในเลือดจะมีค่าระหว่าง 60 – 110 มก./ดล. คนที่มีระดับน้ำตาลเกิน 110 มก./ดล. ถือว่ามีน้ำตาลในเลือดสูงและจัดว่าเป็นโรคเบาหวาน หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 80 มก./ดล. จะมีอาการไม่มีแรง และเป็นลมได้ แต่หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 60 มก./ดล. ถือว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งไม่ต่ำกว่าปกติ แต่ต่ำพอที่จะทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ หากอดนอน หรือทำงานหนัก ใช้พลังงานมากกว่าปกติ ร่างกายจะทนไม่ได้ เพราะน้ำตาลจะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีพลังงานสะสมไว้อยู่เลย

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดขึ้นได้ จากการกินคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวมากเกินไป คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีประวัติกินของหวาน ดื่มน้ำอัดลมมาก เมื่อได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง ก็จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมามากๆ เพื่อให้พอดีกันกับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งเมื่ออินซูลินถูกหลั่งออกมามากก็จะพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์อย่างรวดเร็ว แต่ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงทันที จึงเกิดปรากฎการณ์ของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขณะเดียวกันนั้นเซลล์จะใช้น้ำตาลหมดไปในทันทีราวกับไฟไหม้กองฟาง มีผลให้คนๆ นั้นหมดเรี่ยวแรงอย่างรวดเร็ว

วิธีแก้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำด้วยวิธีที่ง่ายมาก เพียงแต่งดน้ำอัดลม ของหวานที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวทั้งหมด หันมากินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพื่อปรับสมดุลระหว่างระดับน้ำตาลในเลือดกับอินซูลิน

สำหรับคนไทย เพียงแต่เปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นกินข้าวกล้อง ก็สามารถแก้อาการดังกล่าวได้ ข้าวกล้องจึงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับเยียวยาอาการอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง เวียนศรีษะ เป็นลมง่าย

ข้าวกล้องมีสารเส้นใยสูง

ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับสารเส้นใยมีมากขึ้น แต่เดิมเราเข้าใจว่า สารเส้นใยช่วยให้เราขับถ่ายดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งบทบาทของสารเส้นใยมีมากกว่านั้นอีกมาก

สามารถป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ทั้งนี้ในแต่ละวันร่างกายต้องการสารเส้นใย 20 – 25 กรัมขึ้นไป โดยเราควรได้สารเส้นใยจากข้าว หรืออาหารแป้งอื่นๆ ประมาณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งควรได้จากผักและผลไม้

ผักและผลไม้โดยเฉลี่ยจะมีสารเส้นใยประมาณ 2 กรัม ต่อ 100 กรัม ดังนั้นหากกินอาหารที่ประกอบด้วยผักและผลไม้วันละ 5 ส่วนบริโภค(1 ส่วน ประมาณ 100 กรัม) ตามหลักสุขภาพ 12 ประการ เราก็จะได้สารเส้นใยจากผักและผลไม้ประมาณ 10 กรัม

ข้าวกล้อง ในปริมาณ 100 กรัม หรือ 1 ทัพพี จะมีสารเส้นใย 3 กรัม ดังนั้นหากกินข้าวกล้องวันละ 5 ทัพพี ก็จะได้สารเส้นใยอีก 15 กรัม รวมกับ 10 กรัม จากผักและผลไม้ แล้วเป็น 25 กรัม ตามที่ต้องการของร่างกาย

คนที่ตัวใหญ่ มีลำไส้ยาวขึ้น จะกินข้าวมากขึ้นเอง เมื่อกินข้าวกล้องจึงได้สารเส้นใยมากกว่า 25 กรัม ซึ่งพอดีกับความต้องการของร่างกายเขานั่นเอง

กินข้าวกล้องป้องกันโรคท้องผูก

ข้าวกล้องมีสารเส้นใยสูง ทำให้มีกากอาหารเพิ่มขึ้นในอุจจาระ ซึ่งจะช่วยอุ้มน้ำไว้ ทำให้อุจจาระนิ่ม ถูกขับถ่ายออกมาง่ายขึ้น และสารเส้นใยยังช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้ตรงตามเวลาอีกด้วย

แต่เดิม เราส่วนใหญ่จะคิดว่าท้องผูก ก็เพียงแต่ไม่ถ่ายเท่านั้นไม่มีความสำคัญมากนัก แต่ในปัจจุบันนี้เราทราบกันดีว่า อุจจาระที่คั่งค้างอยู่ซึ่งเป็นของเน่าเสียนั้น มีสารพิษที่จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายได้อีก โดยผ่านทางเยื่อบุลำไส้ใหญ่ อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า เมื่อท้องผูกผิวพรรณจะไม่สดใส เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว เกิดแผลร้อนในในปาก และเกิดสิว อาการผิดปกติทั้งหลายนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะสารพิษจากอุจจาระเข้าไปคั่งในกระแสเลือดนั้นเอง

จะเห็นได้ว่าการแพทย์แผนไทยให้ความสำคัญมากในเรื่องอาการท้องผูกจะเริ่มสั่งยารักษาที่มักจะเข้ายาระบาย เพื่อแก้ปัญหาสารพิษจากอุจจาระคั่งค้างเสียก่อน จึงจะรักษาโรคกันได้

อาการท้องผูก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ วิธีแก้ง่ายที่สุดคือ ให้หันมากินข้าวกล้องเพิ่มกากใย ทำให้อุจจาระนิ่มลง ช่วยให้ลำไส้มีแรงบีบตัวมากขึ้น และขับถ่ายออกมาในที่สุด

จากประสบการณ์พบว่า ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการท้องผูกบางราย ถึงแม้จะดื่มน้ำมากๆ กินผักและผลไม้ปริมาณมากแล้วก็ตาม อาการท้องผูกก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ถ้าเพิ่มการแก้อาการโดยการกินข้าวกล้องร่วมด้วย อาการท้องผูกลักษณะดังกล่าวจะแก้ได้ง่ายขึ้น

กินข้าวกล้องป้องกันและควบคุมไขมันในเลือดสูง

สารเส้นใยในข้าวกล้องก็เหมือนกับฟางข้าว ซึ่งหากเอามามัดรวมกัน จะสามารถซับสิ่งต่างๆ ติดตัวมันไว้ ครั้นเมื่อถูกขับถ่ายออกนอกร่างกาย สารที่เส้นใยซับไว้ก็จะผ่านออกมาด้วย

สมัยก่อน เมื่อน้ำมันหกเป็นฝ้าในทะเล วิธีการซับเอาน้ำมันออก คือ ใช้ฟางข้าวมามัดติดกันยาวๆ ล้อมคราบน้ำมันไว้ ฟางข้าวจะดูดซับน้ำมัน วงของคราบน้ำมันจะเล็กลง เมื่อฟางข้าวชุ่มน้ำมันดีแล้ว เขาก็จะเอาไปกำจัดทิ้ง แล้วใช้ฟางข้าวใหม่มาล้อมไว้อีก ทำเช่นนี้จนกว่าคราบน้ำมันจะหมด

เช่นเดียวกันกับลำไส้ของเรา หากมีสารเส้นใยอยู่ช่วยซับไขมันที่เรากินซึ่งอาจจะล้นเกินไปบ้าง ก็จะถูกสารเส้นใยซับไว้ แล้วถูกขับถ่ายมาเป็นอุจจาระ ทำให้ไขมันมีโอกาสซึมเข้าสู่กระแสเลือดน้อยกว่า เป็นการควบคุมระดับไขมันในเลือดไปในตัวนั่นเอง

ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หากหันมากินข้าวกล้องเป็นประจำจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งระดับไขมันในเลือดจะเป็นปกติในระยะยาวอีกด้วย

สารเส้นใยในข้าวกล้องป้องกันและรักษาเบาหวาน

สารเส้นใยในข้าวกล้องอีกนั่นเอง ที่จะทำหน้าที่คอยระวังระดับน้ำตาลในเลือดของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ข้าวกล้องยังมีส่วนช่วยให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน

เช่นเดียวกันกับการทำหน้าที่ซับน้ำมันในอาหารทิ้ง สารเส้นใยในข้าวกล้องก็จะคอยซับน้ำตาลที่เรากินเข้าไปล้นเกินทิ้ง เป็นการป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ผู้ที่เป็นเบาหวานและหันมากินข้าวกล้องเป็นประจำ จะพบว่าระดับน้ำตาลที่ขึ้นๆ ลงๆ และควบคุมได้ยากนั้น จะไม่ค่อยแกว่งมากนัก บางรายสามารถลดยาได้ โดยหากลดน้ำหนักตัวได้ และเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเสียใหม่ ก็อาจไม่ต้องใช้ยาควบคุมเบาหวานในที่สุด

กินข้าวกล้องป้องกันมะเร็ง

สารเส้นใยในข้าวกล้องมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่

ส่วนใหญ่ของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มาจากการกินอาหารไม่เหมาะสม ส่วนน้อยประมาณ 15% เท่านั้น เกิดจากพันธุกรรม ในประเด็นที่เกิดจากอาหารการกินไม่เหมาะสมมีข้อสังเกตดังนี้

อาหารเนื้อสัตว์มีโปรตีนและไขมันสูง เนื้อสัตว์ที่เรากินนั้นส่วนใหญ่จะยังย่อยได้ไม่หมดคงค้างอยู่ในลำไส้ เนื้อวัว ค้างอยู่กว่า 40% เนื้อหมู-ไก่ ค้างอยู่ 30% ซึ่งโปรตีนและไขมันจากสัตว์เหล่านี้เมื่อถูกเข้ากับน้ำย่อยก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นยางเหนียวๆ ติดหนึบกับลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ไขมันในเนื้อสัตว์จะดึงเอาน้ำดีออกมาย่อย คลุกเคล้าปนกันไปในผนังลำไส้ใหญ่ จึงเท่ากับมันอุ้มเอากรดน้ำดีไว้ด้วย

กรดน้ำดีนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา นั่นคือในลำไส้ใหญ่จะมีแบคทีเรียที่กินกรดน้ำดีเป็นอาหาร จึงเกิดสารเสีย เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มสกาทอลและอินดอล ซึ่งพบว่าก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังพบว่าก่อให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วย

ผู้ที่นิยมกินข้าวขาวกับเนื้อสัตว์ นม ไข่ ซึ่งในข้าวขาวมีสารเส้นใยน้อยมากคือ เพียง 0.4 กรัมต่อ 100 กรัมเท่านั้น ส่วนเนื้อสัตว์ นม ไข่ ไม่มีสารเส้นใยเลย อาหารก็ยังคงค้างอยู่ในลำไส้ ไม่ถูกขับออกมาในเวลาอันควร และมีสารก่อมะเร็งเกิดขึ้นอยู่ในร่างกายตลอดเวลา จึงมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งดังกล่าวมากกว่าคนที่กินข้าวกล้องและกินผักผลไม้มากพอ

สมัยกว่า 50 ปีก่อนที่คนไทยยังกินข้าวซ้อมมือ อัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในคนไทยน้อยมาก แต่ปัจจุบันที่เราเปลี่ยนมากินข้าวขาวและกินเนื้อสัตว์ นม ไข่ มากขึ้น ปรากฎว่าอัตราการตายจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ของคนไทยขึ้นมาเป็นอันดับสาม รองจากมะเร็งปอดและตับ

การกินข้าวกล้องจึงจะปลอดภัยจากโรคร้าย สามารถป้องกันโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

กินข้าวกล้องแล้วไม่อ้วน

ข้าวกล้องมีสารเส้นใยมาก จึงทำให้อยู่ท้องไม่ค่อยหิว ไม่ต้องกินจุกจิก เป็นการควบคุมน้ำหนักไปในตัว การกินข้าวกล้องจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการจะลดน้ำหนัก

อีกประการหนึ่ง ข้าวกล้องมีวิตามินบีพร้อมใช้ สามารถถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้มากกว่าการกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือข้าวขาว กินข้าวกล้องนิดเดียวก็ได้พลังงานมาก แต่ไม่อ้วนอย่างการกินข้าวขาวนั่นเอง

ข้าวกล้องมีวิตามินบีหลายตั

ข้าวกล้องที่มีเยื่อหุ้มข้าวอยู่ครบ เยื่อจะหุ้มวิตามินบีไว้หลายตัว ได้แก่ บี 1, บี 2, ไนอาซีน, กรดแพนโทเทอนิก เป็นต้น ทำให้ข้าวกล้องมีสีออกน้ำตาลนวล เป็นสีของวิตามินบี ต่างกับข้าวขาวที่ถูกขัดสี ทำให้ข้าวเป็นสีขาว แล้ววิตามินบีที่มีประโยชน์ก็ถูกขัดออกไปเป็นรำข้าว

ประโยชน์ของวิตามินบี คือ

<!--[if !supportLists]-->- <!--[endif]-->ช่วยการทำงานของระบบประสาท สมอง ทำให้ความจำดี อารมณ์ดี ไม่เครียดง่าย

<!--[if !supportLists]-->- <!--[endif]-->ช่วยการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ รวมทั้งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ

<!--[if !supportLists]-->- <!--[endif]-->ช่วยรักษาโรคเหน็บชา

<!--[if !supportLists]-->- <!--[endif]-->ช่วยให้เยื่ออ่อนในร่างกายแข็งแรง เช่น เยื่อตา เยื่อบุในปาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักแสบตาเวลาถูกแสงจ้า หรือกินอาหารรสจัดไม่ได้ กินเผ็ดแล้วแสบปาก ก็เพราะขาดวิตามินบี 2 นั่นเอง

<!--[if !supportLists]-->- <!--[endif]-->ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต เมื่อร่างกายต้องการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน ต้องการวิตามินบีหลายตัว ซึ่งมีอย่างบริบูรณ์ในข้าวกล้อง มาช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมี ดังนั้นเมื่อกินข้าวกล้องเราจะได้วิตามินบีครบที่จะเอาไปใช้สร้างเป็นพลังงาน และทำให้เราได้รับพลังงานจากข้าวที่กินเข้าไปหมดจดกว่า ไม่เหลือเป็นน้ำตาลซึ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันใต้ผิวหนังอีกด้วย การกินข้าวกล้องจึงทำให้ไม่อ้วนอีกโสตหนึ่ง

ข้าวกล้องมีวิตามินอี

ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่ถูกกะเทาะเอาเปลือกข้าวออกเท่านั้น เยื่อหุ้มข้าวจึงอยู่ครบ จมูกข้าวก็ยังอยู่ จมูกข้าวนี้เป็นที่อยู่ของวิตามินอี ต่างกับข้าวขาวเมื่อถูกขัดไปเรื่อยๆ เมล็ดข้าวขาวจะแหว่งทุกเมล็ด จมูกข้าวที่เป็นแหล่งของวิตามินอีจะหายไป ข้าวกล้องจึงมีวิตามินอี แต่ข้าวขาวไม่มี

วิตามินอี เป็น 1 ใน 3 ของสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน ซี และ อี ดังนั้น การกินข้าวกล้องจึงเท่ากับได้สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติเข้าไปใช้

ผู้ร้ายทางสุขภาพในสมัยนี้เราโทษอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่ทั้งในอาหาร น้ำ และอากาศที่เราหายใจเข้าไป อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำร้ายร่างกายให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น เป็นรอยตีนกา ฝ้า กระ ข้ออักเสบ ต้อกระจก หลอดเลือดอุดตัน ทำให้เป็นโรคหัวใจ อัมพาต รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

เราจะได้สารต้านอนุมูลอิสระ จากอาหารที่กิน คือกินผักสด ผลไม้สดให้เพียงพอ คือวันละ 5 ส่วนบริโภค และกินข้าวกล้องเป็นประจำ

ข้าวกล้องจึงเป็นอาหารกันชรา ป้องกันความเสื่อมของร่างกายทุกส่วน ป้องกันผิวหนังเหี่ยวย่น ป้องกันหวัด รักษาโรคภูมิแพ้ ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็ง แล้วเหตุใดยังเลือกกินข้าวขาวกันอีกเล่า

ข้าวกล้องมีซีลีเนียม

นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญอันได้แก่ เบต้าแคโรทีน ซี และ อี แล้ว ร่างกายยังต้องการโคเอนไซม์ในการทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ คือ เซเลเนียม อีกด้วย ปกติเซเลเนียมพบมากในข้าว การกินข้าวกล้องจะได้เซเลเนียมมากกว่ากินข้าวขาว

ถ้าร่างกายได้รับเซเลเนียมเป็นประจำ จะช่วยเสริมปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายมากขึ้น นี่คือบทบาทของข้าวกล้องในแง่ที่เป็นแหล่งของเซเลเนียม

กินข้าวกล้องป้องกันอาการของวัยหมดประจำเดือน

ดังกล่าวแล้วว่าข้าวกล้องมีเซเลเนียมมาก บทบาทของเซเลเนียม นอกจากใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังเป็นเกลือแร่ที่มีประโยชน์สำหรับรักษาอาการวัยหมดประจำเดือนอีกด้วย

การกินข้าวกล้องจะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ อ่อนเพลีย หงุดหงิด และอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวในวัยหมดประจำเดือน

คนที่กินข้าวกล้องเป็นประจำ กินผักสดและผลไม้สดครบส่วน ออกกำลังกายเป็นประจำ และปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกโยคะ ไม่จำเป็นต้องกินฮอร์โมนเพศทดแทนเสี่ยงต่อโรคอันเป็นผลข้างเคียงของฮอร์โมน

ข้าวกล้องมีประโยชน์ ต้องช่วยกันเผยแพร่


ข้าวกล้องเป็นอาหารหลักของคนไทย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย อีกทั้งป้องกันโรค และป้องกันแก่ ทำให้กระฉับกระเฉง อายุยืนยาว อยู่อย่างมีความสุขโดยไม่เจ็บป่วย เราจึงควรช่วยกันสนับสนุนให้คนไทยกินข้าวกล้องเป็นอาหารหลัก แทนการกินข้าวขาว คนไทยจะได้มีสุขภาพดี ไม่ต้องใช้จ่ายสูง เป็นค่าซ่อมแซมสุขภาพ
 
ค้นข้อมูลเพิ่มเติมที่
 
 
 

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Riceฯ
ข้าวไรซ์เบอรี่ ฯข้าวฮาง(ข้าวนิล) ฯ
ข้าวกล้อง3กษัตริย์,ข้าวกล้อง4กษัตริย์
ข้าวกล้องฯ
ทั้งส่งทั้งปลีก
ส่งฟรีทั่วไทย
ส่งตรงจากชาวนา
ติดต่อ
Tel:090-9610626,089-9096579,086-3265553

guest

Post : 2015-01-13 20:47:04.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้าวกล้อง ไร้สาร

 

ทั่วโลกทึ่ง ข้าวไทยน้ำตาลต่ำกินแล้วไม่อ้วน และช่วยเรื่องผิวพรรณ ชะลอการเหี่ยวย่น

นางรัชนี คงคาฉุยฉาย นักวิจัยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าประชากรโลกป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากโรคอ้วน ทั้งนี้ เบาหวานยังก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามอีกมาก อาทิ โรคหัวใจ และสุดท้ายผู้ป่วยจะเสียชีวิตจากโรคตับและไต เนื่องจากต้องกินยามาก ดังนั้น การป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคดังก...ล่าวจึงจำเป็น ทั้งนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือ กินอาหารในชีวิตประจำวันให้เป็นยา

สำหรับประเทศไทยที่บริโภคข้าวเป็นหลัก จึงต้องการให้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวให้มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักตัว เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งนี้ จากการศึกษาคุณสมบัติข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองของไทย เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ข้าวเหลือง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกภาคอีสานมีปริมาณโฟเลต ซึ่งช่วยป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ และป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้จำนวนสูงถึง 100 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม ขณะที่คนปกติต้องการโฟเลตวันละ 400 ไมโครกรัม แต่ปัญหาคือข้าวสายพันธุ์นี้ค่อนข้างแข็งจึงต้องมีการศึกษาและพัฒนาให้ข้าวอ่อนนุ่มมากขึ้น ส่วนข้าวเจ้าลอย หรือข้าวหนีน้ำมีปริมาณโฟเลตและฟอสฟอรัสต่ำเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มแพทย์ แต่ปริมาณข้าวมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการของบประมาณเพื่อศึกษา

“นอกจากนี้ ยังพบว่าข้าวก่ำ มีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งช่วยเรื่องผิวพรรณ ชะลอการเหี่ยวย่น ที่น่าสนใจคือมีความคล้ายคลึงกับข้าวดำของจีนที่สกัดเอาสารสำคัญไปให้หนูทดลองกินอย่างสม่ำเสมอ แล้วเอาดวงตาหนูไปจ่อกับรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อเร่งให้เกิดต้อกระจบ โดยพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดจากข้าวดำมีดวงตาเป็นปกติ แต่หนูที่ไม่ได้รับสารพบว่าเรตินาถูกทำลายลง ขณะนี้ เรากำลังค้นหาพันธุ์ข้าวที่มีในประเทศไทยเพื่อศึกษาคุณสมบัติ คุณค่าทางโภชนาการ และความจำเพาะต่อโรคบางโรคว่ามีหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าหวังให้มีการปรับปรุงสายพันธุ์จะใช้เวลานาน ซึ่งหากพบแล้วจะเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และเกษตรกรก็จะไม่ละทิ้งที่ดินของตัวเอง”

https://www.facebook.com/992777534071355/photos/a.995955980420177.1073741828.992777534071355/1013103658705409/?type=1&permPage=1

 

https://www.facebook.com/profile.php?id=100008069922241&fref=photo

https://www.facebook.com/profile.php?id=100008069922241&fref=photo

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1521808238098159&set=a.1516376001974716.1073741828.100008069922241&type=1&permPage=1

คุณประโยชน์แสดงเป็นตาราง

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1520920198186963&set=a.1516376001974716.1073741828.100008069922241&type=1&permPage=1

 

 

1

 

 

 

ขายข้าวอินทรีย์นานาชนิด Riceฯ
ข้าวไรซ์เบอรี่ ฯ
ข้าวฮาง(ข้าวนิล) ฯ
ข้าวกล้องฯ
ทั้งส่งทั้งปลีก
ส่งฟรีทั่วไทย
ส่งตรงจากชาวนา
ติดต่อ
Tel:090-9610626,089-9096579,086-3265553